คลังบทความของบล็อก

21 กันยายน 2567

เรื่องสั้น พลอยแห่งความ(สิ้น)หวัง (พ.ศ. 2515 - 2517)

    เสียงปีนดังถี่ยิบสงบลงแล้ว  ร่างของหญิงชายคู่หนึ่งล้มควํ่าสิ้นใจอย่างน่าอนาถ  กลิ่นเลือดโชยคละคลุ้งคล้ายแจ้งข่าวร้าย  และขอความเป็นธรรม  กระเป๋าผ้าที่เคยใส่ก้อนพลอยที่เพิ่งขุดมาได้ว่างเปล่า  ก้อนพลอยหายไปจนสิ้นแล้ว  เบื้องบนท้องฟ้าที่แสงตะวันเริ่มโรยราจนใกล้คํ่าเต็มที อีแร้งตัวใหญ่สองสามตัวไม่ยอมกินกลับรวงรัง  พวกมันบินโฉบไปมา  คล้ายรอโอกาสบ้างอย่าง





     กระแสตื่นพลอยที่บ่อไร่ที่บ้าน หนองบอน นาวง ที่เมืองตราด ยังไม่สร่างซานัก  ข่าวใหญ่ก็แว่วเข้าหูมาอีกว่า  ว่ามีการขุดพบแหล่งพลอยทับทิมสยามเม็ดโตแหล่งใหม่  ก็กระพือลือลั่นไปทั่วทั้งภาคตะวันออก  ผู้คนทั้งเจ๊กทั้งไทยในวัยฉกรรจ์ต่างตื่นข่าวนี้กันถ้วนหน้า  ทุกๆเช้าในร้านกาแฟของเจ๊กย้งใกล้บ้านผม  ต่างสนทนากันแต่เรื่องนี้   ใช่ว่าทุกคนจะสมหวังมั่งมีเป็นเศรษฐีใหม่ของเมืองสัตหีบเสมอไป  บ้างก็เอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่นจนญาติต้องตามหาศพ   บ้างก็สมหวังได้ขุดพลอยเม็ดโตขายได้เงินหลายหอบ  แต่ดันโชคร้ายโดนปล้นโดนฆ่าเสียฉิบ  เหล่านี้คือหัวข้อสนทนาของบรรดาคอกาแฟทั้งหลาย   ระหว่างรอแป๊ะย้งบรรจงเทนํ้ากาแฟร้อนๆลงกระป๋องนมตราเรือใบ แล้วใช้เชือกป่านร้อยที่ฝากระป๋องพร้อมยื่นให้ผม  ยัง...ผมในวัยสี่ห้าขวบยังไม่รีบกลับบ้าน  เพราะยังสนใจเรื่องราวที่บรรดาคอกาแฟทั้งหลาย  พูดคุยกันแต่เรื่องพลอยที่เมืองตราด  จนแป๊ะย้งต้องร้องเตือนเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ทราบ   จนผมต้องรีบวิ่งตื๋อหน้าตั้งกลับบ้านโดยทันที

     ขณะที่ผมและน้องๆ  เอาขนมปังจิ้มกับโอวัลติลร้อนๆแล้วใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่รบนโต๊ะทำงานของพ่อ   ชายผู้หนึ่งจูงจักรยานโบราณแบบคานคู่คันใหญ่ เขากำลังเดินผ่านหน้าพวกเราไป  

     " จะรีบไปไหนล่ะนั่น   แวะกินกาแฟกันก่อนสิ "

     พ่อร้องทักชายผู้นั้น  แล้ววางกระป๋องนมตราเรือใบที่ใส่กาแฟร้อน  พร้อมกับใช้มือกวาด"ลูกคิดเลข" ไปไว้ทางมุมหนึ่งของโต๊ะทำงาน   ขณะนั้นแม่ของผมก็เรียกพวกเรา  ให้ไปประจำโต๊ะข้าวเช่นปกติ  เมื่อแม่เหลียวมาเห็นชายผู้นั้น  จึงร้องเรียกอย่างคนกันเอง

     " อ้าว  ทิดปื๊ด เอ็งจะไปไหนแต่เช้าเชียว  มา มา มา กินข้าวกันก่อน  มาช่วยกินหน่อย  มันเยอะเหลือเกิน  มา มา เร็วเข้า เร็ว ๆ "

     " ชั้นจะไปขุดพลอยที่เมืองจันท์ จ้ะเจ๊ "

       เขาตอบคำถามของแม่ผม พร้อมพิงจักรยานคู่ใจไว้ที่มุมหนึ่งของบ้าน    

       ขณะพวกเรากินมื้อเช้า  บทสนทนาของพ่อกับทิดปื๊ดก็ดำเนินไป  โดยมีแม่สอดแทรกเป็นระยะๆ   ผมฟังไปก็กินมื้อเช้าไป  อย่างสนใจในอาหารและบทสนทนานั้น   

      " เอ็งคิดให้ดีนะทิดปื๊ด  ข้าได้ข่าวจนหนาหูว่าที่นั่นมันแดนเถื่อน  มันเป็นดงนักเลงดงอันธพาลทั้งนั้น  ถ้าไม่แน่จริงอยู่ทำกินที่นั่นไม่ได้แน่  "

      เสียงพ่อเอ่ยเตือนทิดปื๊ดหรือน้าปี๊ด  ญาติห่างๆของแม่อย่างเป็นห่วง  

      " นั่นน่ะสิ  เอ็งจะไปทำไมที่นั่น  ออกเรือจับปลาหากินที่บ้านเราดีกว่า  แม้ไม่รวยแต่ก็ยังพออยู่พอกิน  ไม่เดือดร้อนอะไรนี่"

       เสียงแม่ทักท้วงอย่างเป็นห่วง  ขณะกำลังสารวนอยู่กับน้องสาวคนเล็กวัยสองขวบของผม   

        " ชั้นเริ่มเบื่อทะเลแล้วล่ะเจ๊  อยากออกไปเปิดหูเปิดตาวัดดวงอย่างคนอื่นเขาบ้าง  เผื่อบุญนำกรรมส่งให้รํ่ารวยเหมือนคนอื่นเขาบ้างน่ะ "

       น้าปื๊ดแจ้งความประสงค์ด้วยสำเนียงเหน่อระยอง  อย่างคนภาคตะวันออกทั่วไป

       " เอ้าๆ  ตามใจเอ็ง  แล้วนี่จะไปยังไงและจะไปกับใครล่ะ ทางออกไกลอย่างนี้น่ะ ? "

       พ่อหาข้อสรุป  เพราะไม่สามารถฉุดรั้งหนุ่มวัยสามสิบเศษญาติฝ่ายแม่ได้แน่แล้ว 

        " ก็ไปกับอีแก่ของชั๊นคันนี้ไงเฮีย   มีเพื่อนชั้นอีกคนกำลังคอยอยู่ที่พลาบ้านฉางโน่น  เราจะปั่นไปเมืองจันท์กัน ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ  ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ "

       น้าปี๊ดชี้ไปที่จักรยานคันใหญ่แบบสองคานคู่ใจของแก  พร้อมยิ้มน้อยๆ   พ่อทำตาโตเมื่อได้ยินว่าน้าปื๊ดจะขี่จักรยานคันนี้ไปเมืองตราด   สมัยเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น  ถนนสุขุมวิทช่วงจังหวัดระยองจนถึงอำเภอแกลง  ยังมีสภาพเป็นทางลูกรังและทางลาดยางไปพร้อมๆกัน  ตรงไหนเป็นทางลาดยางรถก็วิ่งได้ง่ายหน่อย  แต่คนขับก็ต้องระวังว่าจะขับไปตกหลุมดินลูกรังบนถนนเข้า  ผมยกตัวอย่างเช่นบริเวณตลาด"มาบตาพุด"เมื่อครั้งผมเป็นเด็กน้อยเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น  สภาพถนนสุขุวิทที่ผ่านตลาดแห่งนี้  พื้นผิวจราจรเป็นดินลูกรังสีแดงแจ๋ มากกว่าเป็นลาดยางมะตอย  หลังคาร้านรวงสมัยนั้น  จะแดงไปด้วยฝุ่นจากดินลูกรังเป็นเทือกเหมือนกันทั้งตลาด  แม่ของผมลงจากรถต้องรีบถอดผ้าคลุมหัวออก  แล้วต้องสะบัดให้ขี้ฝุ่นสีแดงจางหายไป  หากไม่มีผ้าคลุมหัวล่ะก็...มีหวังผมเป็นสีแดงแบบฝรั่งแน่นอน




     

     พลอยแดง หรือ ทับทิมสยาม  เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยคุณภาพที่โดดเด่น ทั้งสีที่แดงสดใส ประกายของน้ำก็งามภายหลังผ่านการเจียรไนแล้ว   ผู้เฒ่าวัยแปดสิบเศษกระดกเหล้าเข้าปาก  พลางใช้หลังมือเช็ดปากอย่างอารมณ์ดี แกเล่าให้ผมฟังว่า   พลอยชั้นยอดแห่งแรกๆของเมืองจันท์นั้น อยู่บริเวณ"เขาพลอยแหวน" ในเขตอำเภอท่าใหม่นี่แหละ  อันชื่อเขาพลอยแหวนนี้ เป็นชื่อเรียกกันมานานนมตั้งแต่ครั้งโบร่ำโบราณแล้ว  แสดงว่าคนสมัยก่อนมีการหาพลอยมาขายกันแล้ว  ส่วนจะนำไปขายใครนั้น ข้อนี้ผมต้องขอเว้นเอาไว้ก่อน   ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า สมัยก่อนนั้นการหาพลอยไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยสักนิด  ไม่ต้องใช้เครื่องมือหนักจักรกลใดๆ ทั้งสิ้นด้วย แถมไม่ต้องเปลืองน้ำมันอย่างในสมัยต่อๆมา  เพราะบริเวณเขาพลอยแหวนนั้น พลอยเยอะมากจริงๆ  เพียงแค่เขี่ยๆ ตามพื้นดินก็พบพลอยแล้ว พลอยที่พบจะเป็นพลอยเขียว  บุษราคัม พลอยสตาร์และไพลิน  ซึ่งคนพื้นบ้านมักเรียก "ลูกครึ่ง"  ผมนั่งฟังผู้เฒ่าแกเล่าเรื่องเก่าอย่างตั้งใจ  พลางมองขวดเหล้าแม่โขงที่ผมซื้อมาเพื่อรีดเค้นเรื่องเก่าๆต่างๆในอดีตที่ไกลโพ้น  ให้ออกจากปากของแก  ซึ่งมันก็เริ่มหร่อยหรอไปอย่างรวดเร็ว  จนผมสงสัยว่า นี่แกดื่ม หรือแกแด... กันแน่ว๊ะ  แต่ไอ้เรื่องเพียงแค่ใช้ไม้เขี่ยเบาๆ ก็เจอพลอยแล้วนั้น  ผมว่าแกขี้โม้ขี้เมามากกว่า  อะไรมันจะง่ายดายขนาดนั้น ?    ตามหลักมารยาทที่ถูกอบรมมาดี  ผมก็ต้องทนฟังให้แกพูดให้จบเรื่องเสียก่อน  แล้วจึงค่อยๆพูดแทรก  เหมือนแกจะรู้ใจผมเสียอย่างงั๊นแหละ  แกว่า...คนหาพลอยชอบฝน  โดยเฉพาะยามฝนตกหนักๆ  มีแต่คนทั่วไปหาที่หลบฝน  แต่คนหาพลอยดันวิ่งเข้าหาฝน   ดูพวกจะชอบฝนเอามากๆ   เหตุและผลมีดังนี้ครับ  ระหว่างฝนตก หรือหลังฝนชุดใหญ่หยุดแล้ว  หน้าดินจะถูกนํ้าชะไป  อีทีนี้ก้อนกรวดและก้อนพลอยก็จะโผล่ที่หน้าดินครับ   บรรดาชาวบ้าน ซึ่งชำนาญการ  จะแยกออกว่าเม็ดไหนเป็นก้อนกรวด  เม็ดไหนเป็นก้อนพลอย  พวกว่างั๊นครับ





     ทิวเขาบรรทัดสูงตระหง่านทะมึนน่าเกรงขาม  มันทอดตัวยาวจากอำเภอโป่งน้ำร้อน  อำเภอขลุง ของเมืองจันท์ ยันไปจนถึงอำเภอบ่อไร่ เมืองตราดโน่น  หากหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  ก็คือเมืองเขมรหรือประเทศกัมพูชานั่นเอง   ทิดปี๊ดและทิดนงสองสหาย  มาอาศัยบ้านเพื่อนสมัยเป็นทหารเกณฑ์ได้สองคืนแล้ว  เขาตะแบกเป็นลูกเขาเล็กๆใกล้ๆกับหมู่บ้านชาวป่า  ที่ชื่อบ้านวังกระทิง  บ้านของเพื่อนที่ทิดปื๊ดมาอาศัยนอน   ร่องรอยการขุดหาพลอยเกลื่อนกลาดทั่วบริเวณตีนเขา  ดินลูกรังสีแดงเข้มถูกขุดเป็นโพรงทั้งขนาดเล็กและใหญ่  บ้างเป็นหลุมบ่อลึกลงไปหลายเมตร  ทิดปี๊ดมองแล้วส่ายหน้าอย่างผิดหวัง  การขุดหาพลอยหรือจะเรียกให้ดูโก้ก็คือ"ทับทิมสยาม"  มีการขุดหากันอย่างเอาเป็นเอาตาย  ซึ่งนั่นก็หมายถึงเงินก้อนโตๆ   เพราะอาจเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน  เมื่อสอบถามจากเพื่อนเจ้าถิ่นว่า  ที่ไหนพอจะมีแหล่งพลอยให้ขุดบ้าง  เพื่อนเจ้าถิ่นแนะนำให้ข้ามไปฝั่งเขมรเมืองไพลินโน่นแน่ะ  หรือไม่ก็ต้องไปวัดดวงกับคนอื่นๆ ที่เขาพลอยแหวนท่าใหม่โน่นแหละ  แต่โป่งนํ้าร้อนบ้านของเพื่อนแห่งนี้  มันก็ยังพอมีแหล่งพลอยอยู่บ้าง  แต่เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องของดวงล้วนๆ  แต่ก็ดีที่ว่าคนหาพลอยมันไม่มากเหมือนที่ท่าใหม่   ปะเหมาะเคราะห์ดีบุญพาวาสนาส่งอาจเจอก้อนพลอยก้อนใหญ่ๆสวยๆก็ได้  ใครจะรู้  เพื่อนว่างั๊น  

     " แล้วเอ็งไม่คิดทิ้งสวนยาง  แล้วมาหาพลอยกับเขาบ้างรึ  นี่มันก็ถิ่นของเอ็งนี่นา ?"

    ทิดปื๊ดแกล้งถามเพื่อนเจ้าถิ่น

     " ม่ายล่ะ  ข้าไม่อยากตายคาหลุมพลอยว่ะ อีกอย่างข้ามีลูกมีเมียแล้ว  ไม่อยากให้ลูกเมียเป็นกำพร้าว่ะ "

   เสียงเพื่อนตอบคำถามอย่างเป็นนัยๆ  พลางทิ้งบุหรี่ยี่ห้อเกล็ดทองลงพื้นแล้วใช้ปลายเท้าขยี้  ทิดปื๊ดผงกหัวอย่างเข้าใจ เพราะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของการขุดหาพลอยมาเยอะ  ว่ามันหฤโหดป่าเถื่อนเพียงใด  การปล้น ฆ่า ใช้เล่ห์เพทุบาย คดโกง  เพื่อต้องการก้อนพลอยที่ผู้อื่นหามาอย่างยากลำบาก  ผู้คนร้อยพ่อพันธุ์แม่มีทั้งสันดานดีและสันดานชั่ว  ต่างก็มารวมตัวกันที่แหล่งพลอยต่างๆในเมืองจันท์   ภัยร้ายอีกอย่างหนึ่งซึ่งคนขุดพลอยต้องพบเจอคือ  หลุมและหรือโพรงดินที่ตนเองขุดหาพลอยนั้น  มีปรากฏอยู่บ่อยครั้งว่ามันเกิดถล่มลงมา  ทับคนขุดเสียจนวายชีวาหรือบ้างคนก็แทบสาหัสสากรรจ์ปางตายทีเดียว  ไข้ป่ามาลาเรียก็ชุมไม่หยอกสำหรับสมัยนั้น   ยิ่งพวกปากเปราะนี่ก็น่ากลัว  ไอ้ที่ว่าน่ากลัวนั้นก็คือ  เมื่อขุดพบเจอพลอยสวยๆแล้ว  ก็เที่ยวแหกปากประกาศให้ชาวบ้านรู้โดยทั่วกัน  แต่ครั้นนึกขึ้นได้ว่าหาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว  พวกก็เก็บข้าวของหนีไปอย่างคนหนีตายภายในคืนนั้น  สามเดือนผ่านไปญาติทางบ้านมาสืบเสาะหาข่าว  ว่าขุดพลอยประสาอะไรบ้านช่องไม่กลับ ข่าวคราวก็ไม่ยอมส่งให้ทางบ้านรู้   เมื่อญาติผู้สูญหายลับตาไป  มีแต่คนพูดตามหลังไปว่า " หาให้ตายก็ไม่เจอ  ป่านนี้ไปเป็นปุ๋ยเสียที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ "  





    หลายเดือนต่อมา...รถจี๊ปหกล้อโกโรโกโสสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมาจอดที่หน้าร้านของผม  ปรากฏชายผู้หนึ่ง  รูปร่างผอมโซเหมือนกระดูกเดินได้  เขาค่อยๆป่ายปีนลงมาจากกระบะท้ายของรถคันนั้น  คนในกระบะสองสามคนพยายามหย่อน  จักรยานแบบคานคู่คันใหญ่ลงสู่พื้น  ชายผู้นั้นก็คือทิดปื๊ดญาติของแม่ผมนั่นเอง   ลุงชิ้นผู้เป็นโชเฟอร์เดินลงจากรถมาคุยกับแม่ผม

    " ชั้นเจอไอ้ทิดปื๊ดมันแถวๆตลาดสามย่าน  เผอิญแวะไปซื้อ"ยาทัมใจ" เดินผ่านมันไปแล้ว...แต่เกิดเฉลียวใจว่าไอ้คนนี้หน้าตามันคุ้นๆ  แกล้งเรียกชื่อมันดังๆ  มันก็หันมามอง  มันเห็นชั้นมันดีใจใหญ่เลย  ดูสิ โดนไข้ป่าเล่นซ๊ะงอมพระรามเชียว " 

   ลุงชิ้นว่าแล้วแกก็รีบเดินไปขึ้นรถ  แม่รีบควักเงินเป็นสินนํ้าใจให้ แต่แกไม่รับ   ทิดปื๊ดส่งห่อผ้าใบเล็กๆเก่าๆ ดูมอมแมมสกปรก  ข้างในห่อผ้าบรรจุพลอยสีแดงๆก้อนชรุชระ เพราะยังไม่เจียรไนให้แม่  พร้อมถามหาพ่อของผม 

    " ชั้นเอามาฝากเฮีย "  

    พูดแล้วแกก็คว้าจักรยานโบราณของแก  จูงหายไปในซอยข้างร้านของผม  อย่างคนเหนื่อนหน่ายต่อชีวิต .





8 กันยายน 2567

เรื่องสั้นเที่ยวป่า ตอน พรานหมูป่า ( พ.ศ. 2535 - 2538 )

 เรื่องสั้นเที่ยวป่า ตอน พรานหมูป่า  ( พ.ศ. 2535 - 2538 )



      อากาศอันร้อนแล้งขนาดหนัก  ฝุ่นสีแดงฟุ๊งกระจายไปกับสายลม  ลมบ้าหมูลูกเล็กๆหมุนวนเป็นเกลียว  มันดูดฝุ่นที่ผืนดินขึ้นสู่เบื้องบนวนเป็นเกลียว  แล้วสลายวับลับไปกับอากาศอันว่างเปล่าเวิ้งว้างอันไร้จุดหมาย  เปลวแดดยามต้นบ่ายส่งประกายยิบยับจนแสบตา  รถกระบะดัดแปลงขนเศษไม้เหลือทิ้งในป่า  วิ่งผ่านหน้าผมไปหลายเที่ยวแล้ว  มันวิ่งผ่านทีนึง ฝุ่นบนถนนที่ละเอียดเป็นอณูเหมือนแป้งก็ฟุ๊งปลิวปรายทีนึง  ขนมข้าวพองชิ้นใหญ่ราคาแค่บาทเดียว  ถูกผมชบเคี้ยวแกล้มเบียร์สิงห์ขวดใหญ่เย็นเจี๊ยบ  จากถังนํ้าแข็งก้อนหรือนํ้าแข็งมือผสมแกลบดิบ   ในม่านตาของผมที่มองผ่านแว่น"เรย์แบนด์ " เมื่อเหลือบมองนาฬิกาข้อมือมันระบุว่าบ่ายโมงครึ่งแล้ว   ผมมานั่งรอสหายต่างวัยที่ร้านค้าแบบเพิงหมาเแหงนที่บ้าน"หนองคอก"อำเภอท่าตะเกียบเมืองแปดริ้ว  นานจนรากงอกแล้ว 


     มองฝ่าเปลวแดดเบื้องหน้าไปทางทิสตะวันออก  ผมแลเห็นรถแบ๊คโฮและรถบรรทุกดินมากมาย  กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น  ขณะนั้นอ่างเก็บน้ำ"คลองสียัด"กำลังถูกสร้างขึ้น  มองเลยขึ้นไปด้านหลังอ่างเก็บนํ้าสียัดคือ"เขากา"เด่นเป็นสง่ามายาวนาน  ได้ยินได้ฟังมานานนมว่า ภูเขาแห่งนี้มีศาลเจ้าพ่อที่ศักดิ์สิทธิ์นักชื่อ"เจ้าพ่อเขากา" นักท่องป่ารุ่นพี่รุ่นพ่อของผมเล่าว่า  ป่าบริเวณนี้เคยเป็นป่าดิบคงทึบ แม้จะผ่านการสัมปทานป่าไม้มาแล้วในช่วงยุคของพวกเขา  ความดิบกันดารโหดร้ายของป่าลึกสมัยนั้น  มันคือเสน่ห์อย่างมหาวายร้ายของคนหนุ่มผู้รักการผจญภัยทั้งหลาย  มีทั้งถูกฝังร่างอันไร้วิญญาณไว้ในป่า  มีทั้งรอดตายออกมาจากป่า แต่จิตใจและร่างกายไม่สมประกอบเสียแล้ว  และมีทั้งผู้รอดปลอดภัยได้กลับบ้านอย่างแคล้วคลาด  ภายในไม่ช้าก็กลับโหยหาป่าลึกดงดิบอีกทุกครั้ง  นี่แหละคือเสน่ห์ของป่าลึกดงดิบล่ะ  เรื่องแบบนี้...ใครไม่เจอกับตัวเอง  ไม่มีทางรู้อย่างเด็ดขาดครับ


      เสียงมอเตอร์คาร์ของพี่ยุ่นแห่งแดนซามูไร" Honda CB 750" ส่งเสียงแปร๊นๆมาจากทางทิศใต้...สหายต่างวัยของผมปรากฏกายแล้ว   พวกมาจอดพรืดอยู่ตรงหน้าผมอย่างฉับพลัน  ฝุนฟุ๊งกระจายจนทั่วร้านค้าเพิงหมาแหงน  แม่ค้าวัยสาวใหญ่อ้วนฉุจนก้อนเนื้อส่วนเกินแทบทะลักผ้าถุง หล่อนใช้มือปัดป่ายไปมาไล่ฝุ่นฟุ๊งเบื้องหน้าอย่างชุลมุนชุลเก  พลางบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นัก 

     " มานานรึยังแป๊ะ?"

     สหายต่างวัยตัวผอมโกร่งวัยสี่สิบเศษทักทายผม  ผิวกายของเขาคล้ายคนผิวขาวแต่กรำแดดลมจนคลํ้าเข้มดูเป็นแมนในสายตาของสาวบางคน  ชายผู้นี้เป็นอดีตนักเรียนนอกฟิลิปปินส์  เขาเคยพาผมยํ่าไพรในป่าแถบนี้เมื่อหลายปีก่อน  เขาชื่อ "ประเสริฐ แซ่ตั้ง"  ชายผู้ยอมทิ้งอุดมการณ์ทั้งสิ้น  เพราะมาตกหลุมรักสาวบ้านป่าในแถบนี้  

       " อั๊ว มาได้สองชั่วโมงแล้ว  หมดเบียร์ไปสองขวดแล้ว  นี่... หากอีเจ๊นี่สาวกว่านี้หน่อย  อั๊วคงปลํ้าทำเมียแล้ว"

       ผมตอบคำถามของเขา  พร้อมหยอดมุขตลกๆ เพื่อผ่อนคลายอากาศที่ร้อนชวนตับแลบในเวลานี้  จนเขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี  ใบหน้าของเขาที่แดงกรํ่ากลับแดงยิ่งขึ้น  เมื่อสบอารมณ์ในมุขตลกของผม   

      " โทษที...เมื่อคืนอั๊วดื่มหนักไปหน่อย  กว่าจะตื่นก็ล่วงเข้าบ่ายแล้ว  นี่ดีนะ...ที่แม่อีหนูปลุกซ๊ะก่อน  ม่ายงั๊น ลื๊อคงรออั๊วรากงอกแน่"

      ผมลอบพินิจใบหน้าและท่าทางของเขา  พร้อมหัวเราะตามเขาอย่างฝืนๆด้วยมารยาท  เพื่อให้บทสนทนาอันราบรื่นคงไว้  โธ่! คนที่ไม่ชอบคอยใครอย่างผม  ไอ้เรื่องการไม่ตรงเวลานั้น  ผมล่ะเบื่อจริงๆเชียว  เจอมาทั้งเจ็กทั้งไทยจนเหม็นเบื่อเชียวแหละคุณเอ๋ย  แต่ประเด็นมันคือว่า  อากู๋ของผมท่านนี้  คงดื่มมาไม่น้อยเชียวล่ะ  กลิ่นเหล้าหึ่งมันฟ้องชัดเจนเหลือเกิน  ก่อนมาพบกับผมนี่  พวกคงดื่มมาหนักพอควรแล้วแน่นอน 

       "     No problem ไม่มีปัญหา ๆ  ว่าแต่ลื๊อไม่มานั่งดื่มเบียร์กับอั๊วก่อนหรือ ? รอให้แดดมันจางเสียก่อน  แล้วค่อยออกเดินทางกัน   "

      " ไม่ได้ ๆ  ทางโน้นเค้าเตรียมทำกับข้าวป่าๆรอลื๊อไว้แล้ว  หากชักช้างุ่มง่าม เดี๋ยวเขาจะเสียนํ้าใจเปล่าๆ  ลื้อขับรถตามอั๊วไปบ้านหลังใหม่ของอั๊วเลย  เร็วเหอะว่ะ "

     ว่าแล้ว...พวกก็หันมอเตอร์ไซค์คันเก่าบุโรทั่ง  หันกลับทางเก่าที่พวกจากมาทันที  จนผมต้องรีบควักเงินจ่ายค่าเบียร์แทบไม่ทัน  โตโยต้ากระบะคันใหม่ของผม  เร่งห้อตะบึงตามฮอนด้าแมงกาไซค์รุ่นพระเจ้าเหาไปติดๆจนฝุ่นตลบไปทั้งถนนดินลูกรังสีแดง  ?  


      ระหว่างสองข้างทางที่ผมขับรถตามแมงกาไซค์ของสหายต่างวัยมานั้น  มันเป็นไร่มันสำปะหลังสลับไปกับป่าซากและป่าดิบแล้ง  ต้นยางใหญ่สีเทา ยืนต้นหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอยู่ข้างทาง  บนยอดที่แทบไร้ใบของมัน  ปรากฏกล้วยไม้ที่ไร้ค่าเช่น"เอื้องกระเป๋าปิด" เติบโตขึ้นอย่างแร้นแค้นเงียบเหงาสะลึมสะลือ  คล้ายเฝ้ารอวันสิ้นสูญพันธุ์  กลิ่นดินใหม่ที่ถูกรถแทร็กเตอร์ไถพรวนปะทะจมูกของผม  มันล่องลอยมาจากข้างถนน  ผสมกับดินฝุ่นที่รถผมเหยียบยํ่าตะกุยตะกาย  ต้นไม้ใบอับเฉาบนภูเขาเตี้ยๆเบื้องหน้า  แลดูแห้งแล้งหม่นหมองเพราะขาดนํ้าในฤดูร้อนแล้งอันมหากาฬเช่นครั้งนี้    เพียงไม่ถึงห้าปีที่ผมเคยมาเที่ยวท่องป่าแถบนี้   มันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก  ภูเขาหลายแห่งที่ผมเคยมานอนฟังเสียงป่าร้องเพลง  มาบัดนี้...ไม้ใหญ่ทั้งหลายพลันสูญหายไปจนแทบสิ้น  "เขาพริก" เป็นภูเขารอยต่อระหว่างเมืองชลบุรีกับเมืองแปดริ้วฉะเชิงเทรา  ผมเห็นร่องรอยการรุกป่าของชาวบ้านแทบตลอดเส้นทาง  "มันสำปะหลัง" พืขเศรษฐกิจอันร้ายกาจ   ป่าใหม่ๆที่เคยสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารมากมายหนักหนา  ไส้เดือนตัวโตเท่านิ้วก้อย  จะเหลือเพียงตัวเท่าไส้เดือนผอมแห้งเช่นในปัจจุบันนี้ทันที  เพียงปลูกมันสำปะหลังไม่เกินสามสี่ปี  ดินนั้นกลับพลันเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ     มันสำปะหลังและต้นยูคาลิปตัส  เป็นพืชและไม้เศรษฐกิจที่น่าหวั่นเกรงเอามากๆ


     บ้านไม้ยกพื้นสูงจนผมต้องแหงนคอมอง   หลังคาสังกะสีกลางเก่ากลางใหม่สะท้อนกับเปลวแดดยามบ่ายระยิบระยับแสบตา   ตามชายคาและขอบรั้วที่นอกชานของบ้านในป่าหลังนี้  ถูกประดับประดาไว้ด้วยกล้วยไม้ป่าสารพัดชนิด  พวกมันถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบ  ด้วยรสนิยมชั้นสูงอย่างคนมีอารมณ์อันสุนทรีย์ของเจ้าบ้าน   หมาบ้านสามสี่ตัวแสดงความดีใจเมื่อเห็นรถของเรา  ซากหนังหมีควายผืนใหญ่ซึ่งถูกแขวนไว้กลางลานบ้าน  มันแกว่งไกวไปมาตามกระแสลม  เพียงแค่เหลือบมองผมก็ทราบว่า  หากเจ้าของซากยังมีชีวิตอยู่  ความใหญ่โตมโหราฬของมันคงน่าสะพรึงใจเป็นแน่แท้  หากเราเดินไปจ๊ะเอ๋กับมันกลางป่าเข้า  สัตว์ที่คาดเดาอารมณ์ได้ยากยิ่ง  ก็คือหมีควายนี่แหละท่านเอ๋ย  ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวพอสมควรเกี่ยวกับ"หมีควาย"  แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงแต่เพียง"ลูกหมีควาย"ที่ตัวเล็กๆยังไม่อดนมเท่านั้น  พรานใหญ่หลายคนกล่าวตรงกันว่า  ห้ามนำมาเลี้ยงโดยเด็ดขาด  อีตอนมันยังเล็กๆมันก็น่ารักดีอยู่หรอก  แต่ถึงคราวที่มันเติบโตจนเข้าวัยเจริญพันธุ์นี่สิ  อารมณ์ธรรมชาติมันเรียกร้อง มันตบเจ้าของที่เลี้ยงมันมาแต่น้อยจนใบหน้าหายไปทั้งแถบมาแล้ว  พรานไพรใจหาญบางคนถึงกับยิงลูกหมีควายทิ้ง  เพื่อตัดปัญหาทั้งปวง  จะปล่อยทิ้งไว้กลางป่าก็คงไม่แคล้วถูกเสือหรือหมาไนกินจนต้องตายอย่างทรมานแน่นอน แต่ไอ้ครั้นจะอุ้มกลับบ้านนำมาเลี้ยง  ก็กลัวว่าตนเองจะตายเพราะลูกหมีเป็นแน่แท้ทีเดียวเชียว   อย่างที่ผมกล่าวไว้นั่นแหละ  


     บ้านกลางป่าของอากู๋  ถูกล้อมรอบด้วยต้นตะเคียนขนาดใหญ่หลายสิบต้น   ผมก็ไม่ทราบว่าแกคิดยังไง  ใจแกถึงหาญกล้ามาปลูกบ้านในดงตะเคียน  แกเล่าว่า...แกไม่เชื่อเรื่องผีเรื่องสาง  ดังนั้นแกจึงไม่กังวลว่านางตะเคียนจะมาแผลงฤทธิ์เล่นงานแก  ประมาณว่า ต่างคนต่างอยู่ไม่เบียดเบียนกัน  มันก็แค่นี้เท่านั้น   ด้านซ้ายมือจรดด้านหลังบ้าน  เป็นคลองขนาดใหญ่ที่นํ้าไม่เคยแห้งเลยสักปี  เลยคลองไปไม่ถึงสิบห้าเมตรก็คือแปลงนาข้าวหลายไร่  ซึ่งอากู๋เล่าให้ผมฟังว่า  แกต้องต่อสู้กับหมูป่าและช้างป่าบ่อยครั้ง  อีตอนข้าวใกล้สุก  นี่ก็เป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่ของชาวบ้านป่าทั้งหลาย  การมาเยือนบ้านของแกในครั้งนี้  จะว่าไปแล้ว...แกให้ผมมายิงหมูป่านั่นเอง   จะว่ากันให้ถูกต้องที่สุดคือ  แกต้องการอาวุธปืนที่ทรงพลังเข่น"ไรเฟิล"ของผมนี่แหละ  ลำพังปืนลูกซองของแกนั้น  มันไม่สามารถล้มไอ้หนังหนาหุ่นเหมือถังแก๊สจ่าฝูงได้นั่นเอง  แกว่าของแกอย่างนั้น   


     ดวงตะวันเริ่มจะลาลับสันเขาพริกเต็มทีแล้ว   ไฟกองใหญ่ไล่ยุงป่าเริ่มสว่างไสวในยามโพล้เพล้  แมลงป่ากรีดปีกรีดเสียงจนลั่นป่า  พวกมันเป็นนักดนตรีขับกล่อมผืนพงไพร ให้มีสีสรรหรรษามาช้านานแล้ว  บรั่นดีไทยยี่ห้อดังที่ผมนำติดตัวมา  พร้อมผัดเผ็ดเนื้อเก้งและต้มยำหมูป่าหมดไปค่อนหม้อแล้ว  ผมอดแอบชื่นชมในฝีมือแม่บ้านของอากู๋ไม่ได้  นี่ถ้าไปเปิดร้านขายอาหารป่าคงดังระเบิดระเบ้อแน่นอน  

     " หมดขวดนี้  อั๊วจะพาลื๊อไปดูห้างที่อั๊วผูกไว้สำหรับลื๊อคืนนี้ "

     กู๋พูดด้วยเสียงอ้อแอ้คล้ายคนลิ้นพันกัน  พร้อมชี้ไปที่ขวดบรั่นดีที่พร่องไปเยอะแล้ว  เป็นทำนองเตือนผมให้เตรียมตัวเผด็จศึกไอ้ฝูงหมูป่าจอมวายร้ายทั้งหลาย  ผมมองแกแล้วเกิดคำถามขึ้นในใจ  สภาพของแกเวลานี้  ดูแล้วว่าแกจะพาผมเดินไปถึงห้างยิงสัตว์ไหวไม๊หนอ? ผมไม่ค่อยเชื่อใจคนเมาสักเท่าใดนัก  เพราะมันมักล้มเหลวมากกว่าผลสำเร็จ  

     " ลื๊อชี้ทางและระบุพิกัดให้อั๊วก็ได้  เดี๋ยวอั๊วไปเอง "

     ผมแจ้งความประสงค์ให้สหายต่างวัยทราบ  พร้อมกับฉีกเนื้อเค็มเข้าปาก

     " ได้ไงล่ะ! พวกมาช่วยทั้งที  จะปล่อยให้เดินดุ่มสุ่มหาห้างได้ไงล่ะ  คืนนี้เราแยกกันนั่งยิง  อั๊วจะเดินไปส่งลื๊อทางทิศใต้  ส่วนอั๊วจะไปนั่งยิงทางทิศเหนือ   พอเช้าเราค่อยมาเจอกันที่นี่  เข้าใจ๋ "

     เสียงสหายต่างวัยอธิบายแผนการอย่างหยาบๆ

     " เอ้า ว่าไงว่าตามกัน  นี่จะคํ่าแล้วเราออกเดินทางกันเลยดีกว่า "

     ผมรวบรัดตัดตอน  เพราะดูอาการของเจ้าถิ่นแล้ว  ไม่รู้ว่าจะล้มพับหลับผลอยไปตอนไหนก็ไม่อาจรูุ้ได้

     

     เราสองคนพากันเดินดุ่มๆเงียบๆข้ามสะพานไม้ไผ่ที่พาดข้ามคลอง  แปลงนาข้าวที่ยังไม่ออกรวงทอดยาวไปจนเกือบชิดขอบชายป่า  นกป่าฝูงใหญ่บินเฉียงๆอยู่เหนือหัวของเรา  เพียงครู่เดียวเราก็มาถึงขอบป่าที่ทึบทะมึน   ผมเหลียวมองไปทางทิศตะวันตกด้านขวามือ  ดวงสุริยาก็ลับหายไปบนเขาพริกแล้ว  ชะมดเช็ดตัวหนึ่งเกาะนิ่งอยู่บนกิ่งขนุนป่า  มันมองเราอยู่นิ่งๆคล้ายกลัวเราเห็นมัน   สหายต่างวัยหยิบไฟฉายขนาดห้าท่อนส่องทาง  เพียงไม่เกินสิบนาทีเราก็พากันมายืนอยู่ใต้ห้างแล้ว  อากู๋สหายต่างวัยทำท่าภาษาใบ้ให้ผมขึ้นห้างได้แล้ว  ส่วนตัวของแกเองก็เดินหายลับไปอีกทางหนึ่ง  ซึ่งเป็นห้างของแกตามแผนที่วางไว้   

     

     ผมขยับตัวไปมาเพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของห้างกลางเก่ากลางใหม่นี้   นาฬิกาข้อมือระบุเวลาหกโมงเย็นเศษๆ  มองท้องฟ้าลอดใบไม้ปรากฏยังสว่างอยู่พอควร  แต่พอมองป่ารอบตัวมันเกือบมองอะไรไม่เห็นแล้ว  ผมหยิบไฟฉายมาเปิดเช็คดูความพร้อมของมัน   ไรเฟิล วินเชสเตอร์ .375 ปืนคู่มือจากอังกฤษพร้อมใช้  เมื่อผมนำมาตรวจเช็คอีกครั้ง  กระติกนํ้าถูกวางไว้ข้างตัว  เนื้อเค็มถุงเล็กๆในเป้หลังเอาไว้เผื่อหิวยามดึก  ผมเอนกายพิงลำต้นประดู่ที่ผูกห้างไว้  สายตาก็สาดส่ายฝ่าความมืดรอบกายออกไป  ผมนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของป่า   กำลังนึกอยู่ว่า ป่านนี้สหายต่างวัยเดินไปถึงห้างของแกหรือยัง? ขณะกำลังคิดอะไรต่อมิอะไรอย่างเพลินๆนั้น   ผมแทบสะดุ้งสุดตัว  เสียงปืนลูกซองดังขึ้นไล่ๆกันสามนัด  มันดังใกล้ๆตัวผมเองนี่นา  เสียงมันดังอยู่ใกล้ๆนาข้าวของกู๋สหายต่างวัยของผมนี่   เอ๊ะ! ยังไงกันหว่า !! ? ถ้าเป็นเสียงปืนของอากู๋  มันก็ควรจะดังทางทิศเหนือ  ซึ่งเป็นที่ๆแกนั่งห้างสิ  แต่เสียงปืนมันกลับดังมาทางทิศตะวันตกนี่  หรือประสาทหูของผมเพี๊ยนไปเสียแล้ว ?  ผมนิ่งเงียบใช้สมาธิอย่างเต็มที่  เอียงคอเงี่ยหูคอยฟังสิ่งต่างๆ  เงียบ!!  แมลงป่าที่ส่งเสียงกล่อมไพรอยู่เมื่อครู่  บัดนี้ก็เงียบเสียงสนิทเพราะเสียงปืน   ที่ดังลั่นป่าในขณะนี้  ป่าแตกตั้งแต่หัววันอย่างนี้ หมูป่าหรือสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ  คงยากที่จะออกหากินในป่าแถบนี้แล้ว  การนั่งห้างในคืนนี้เป็นการเสียเวลาเปล่า  ขณะที่ผมกำลังจะตัดสินใจว่าจะเอายังไงดี  เสียงปืนก็ดังมาจากทางทิศเดิมอีกนัดหนึ่ง  ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปสองนาทีแล้วจึงยกไรเฟิลคู่กายยิงขึ้นฟ้าหนึ่งนัด  พอสิ้นเสียงไรเฟิลของผมเพียงอึดลมหายใจ  เสียงปืนลูกซองก็ดังขึ้นหนึ่งนัดทางทิศเดิมเช่นกัน   


     ผมรู้สึกสังหรณ์ใจพิกลอยู่   จึงเก็บข้าวของแล้วปีนลงจากห้างในทันที   ผมเดินฝ่าความมืดย้อนเส้นทางเมื่อขามา  ไฟฉายในมือสอดส่ายไปมาเบื้องหน้าอย่างคิดระแวง  พรานใหญ่รุ่นเก่าๆยํ้านักยํ้าหนาว่า หากไม่จำเป็นจริงๆ  ห้ามเดินในป่าหลังตะวันตกดินเป็นอันขาด  เพียงไม่ถึงสิบนาทีผมก็เดินมาถึงชายขอบของป่าใหญ่  เดินตามรอยเท้าเมื่อขามา  ซึ่งเป็นรอยประทับบนดินฝุ่นลูกรังสีแดงชัดเจน  เพียงผมเดินอ้อมก้อนหินขนาดใหญ่ด้านซ้ายมือมานิดเดียว  แสงจากไฟฉายในมือก็พบกับซากหมูป่าตัวใหญ่  นํ้าหนักตัวของมันคงไม่ตํ่ากว่าเก้าสิบกิโลเป็นแน่   รูกระสุนสองรูที่หน้าผากของมัน  ยังมีเลือดสีแดงหยดอยู่เป็นระยะ   บนพื้นดินยังมีรอยเลือดนองอยู่   ขณะที่ผมกำลังกระสับกระส่ายฉายไฟหาเจ้าของรูกระสุนอยู่นั้น  แสงจากไฟฉายดวงหนึ่งก็พุ่งมากระทบที่ใบหน้าด้านซ้าย  เมื่อผมเหลียวกลับไปมอง  โฟกัสจากดวงไฟฉายนั้นก็เปลี่ยนไปอยู่ที่อื่น  

     " เกือบไปแล้ว  เกือบไปจริงๆว่ะแป๊ะเอ๋ย  "

    เจ้าของดวงไฟฉายดวงนั้น  เขาก็คืออากู๋สหายต่างวัยของผมนั่นเอง  เขานั่งกึ่งนอนแบบคนหมดสภาพ  แผ่นหลังของเขาพิงก้อนหินใหญ่นั้น  ในซอกเหลี่ยมมุมของก้อนหิน  บดบังเขาไว้จากแสงไฟฉายของผม  กางเกงชาวเรือสีดำที่ขาอ่อนด้านซ้ายของเขา  ฉีกขาดเป็นทางยาวหลุดลุ่ยเลอะเศษดิน  ก้อนเนื้อขนาดเท่าฝ่ามือของผู้ใหญ่ฉีกขาดเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเศษดินฝุ่นลูกรังสีแดง  ผมถลาไปที่เขาแล้วส่องไฟฉายตรวจสอบบาดแผลอย่างร้อนใจเต็มที  เศษผ้าจากกางเกงชาวเรือของเขา  ถูกฉีกและทำเป็นเชือกเฉพาะกิจรัดที่เหนือบาดแผลของเขา  สหายต่างวัยก็ใจเด็ดแท้  เขากลํ้ากลืนความเจ็บปวดทั้งปวง  แล้วส่องไฟฉายช่วย  ขณะผมกำลังง่วนอยู่กับบาดแผลของเขา   

     " ถ้าอั๊วไม่อยู่แล้ว  ลื๊ออย่าลืมส่งแม่โขงให้อั๊วด้วยนะ  อ้อ! ลื๊ออย่าลืมส่งรูปโปสเตอร์ของ"เปีย ซาโดร่า ให้อั๊วด้วยล่ะ อั๊วจะได้ไม่เหงา " 

     ในความมืดขณะนั้น...ผมไม่สามารถมองตาของเขาได้   ผมอยากจ้องมองดวงตาของเขาจริงๆ


     สองเดือนต่อมา  ผมกลับมาหาอากู๋สหายต่างวัยอีกครั้ง   เขาแทบเสียขาไปข้างหนึ่ง  หมอโรงพยาบาลที่เมืองแปดริ้วชี้แจงกับผม  เมื่อคืนที่ผมนำเขาไปส่งถึงตัวเมืองแปดริ้วอย่างทุลักทุเล  ว่าเขาจะกลายเป็นคนกึ่งพิการตลอดไป  รอยแผลที่หมูป่ายักษ์ฝากไว้กับเขา  มันตัดเส้นเอ็นของเขาแทบสิ้น  คืนนั้น...หากผมไม่มีลางสังหรณ์  สหายต่างวัยคงนอนสลบจนเลือดหมดตัว  อยู่กับป่าใกล้ๆบ้านของเขานั่นเอง   พรานแต่ละคนมีความกลัวไม่เหมือนกันเมื่ออยู่ในป่าลึก  พรานบางคนกลัวงูพิษ  บางคนกลัวหมี  บางคนกลัวเสือ  พรานบางคนกลัวช้างป่าเป็นที่สุด  แต่พรานบางคนกลับกลัวหมูป่ายิ่งกว่ากลัวเสือ  หมูป่าที่ไม่ใช่หมูบ้าน  เพราะมันคือหมูป่าที่มีความอึดถึกทน และบ้าระหํ่าต่อคู่ต่อกรของมันยิ่งนัก  มันไม่ยี่หระต่อคมกระสุนหากยิงไม่ถูกจุดสำคัญ   อย่าหวังเชียวว่าใครจะเคี้ยวเนื้อหนังมันได้โดยง่าย   พรานป่าในภาคตะวันออกสมัยผมเที่ยวป่าใหม่ๆ  ก็เมื่อเกือบสี่สิบปีที่ผ่านมานี่แหละ  ต่างเป็นผีเฝ้าป่าจนนับไม่ถ้วนเพราะหมูที่ไม่หมูนี่แหละ  

     


25 สิงหาคม 2567

เรื่องสั้น ยํ่าไพร ตอน โอปปาติกะในป่าลึก ( พ.ศ. 2540 --2545 )

 



เรื่องสั้น ยํ่าไพร ตอน  โอปปาติกะในป่าลึก  ( พ.ศ. 2540 --2545 )

     พอเริ่มย่างเข้าต้นเดือนมีนาคม  ต้นยางก็เริ่มผลัดใบเหมือนกันไปหมด  ไม่ว่าจะเป็นยางนาหรือยางพารา และสารพัดตระกูลยางทั้งหลาย มันส่งสัณญาณเตือนว่าฤดูแล้งเริ่มมาเยือนแล้ว  ใบยางสีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง  เริ่มร่วงหล่นจากต้นสู่ผืนดินหยาบแล้งแห้งระอุ  เสียกลองเพลจากวัด"บ้านโคก" อำเภอแก่งหางแมว แว่วมาไกลๆ เพื่อเตือนหมู่ภิกษุทั้งหลาย  ว่าใกล้ถึงเวลาฉันเพลแล้ว  
     แสงแดดระยิบระยับร้อนผ่าว  ดั่งเปลวรัศมีแห่งความร้อนในทะเลทรายอันกว้างไกลไร้จุดหมาย และไร้ซึ่งสรรพชีวิต   ลมร้อนระลอกหนึ่งพัดมาโดนตัวผมจนรู้สึกได้ชัดเจน   ว่ามันร้อนเหมือนเอาใบหน้าไปจอรอรับไอร้อนจากกาต้มนํ้าเดือด ๆ   ผมกำลังสาระวนอยู่กับเจ้าแทร็กเตอร์คันเก่าจอมเกเร  ที่มีอันมาจอดเสียอยู่กลางไร่  ผิวกายเป็นมันเยิ้มด้วยเหงื่อไครจนน่ารำคาญ  แมง(แมลง)ชันโรงหลายตัวตอมกินเหงื่อของผม   ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผากพร้อมโบกมือไล่เป็นพัลวัน  ด้วยแรงแห่งพยายาม  อีกสักพักใหญ่ไอ้จอมเกเรก็ส่งเสียงกระหึ่มลั่นไปทั่วไร่  ขณะผมขึ้นนั่งบังคับเพื่อลุยงานต่อ  สายตาก็แลเห็นอาคันตุกะบนรถแมงกาไซค์คันหนึ่งมุ่งมาหา  ฝุ่นขาวอมเหลืองแดงฟุ๊งกระจายตามหลังรถมาติดๆคล้ายญาติกันฉันไม่ยอมห่างเธอ  ผมติดเครื่องอีแก่แทร็กเตอร์รอดูเขาว่าเป็นใคร?  แค่บุหรี่หมดไปไม่ถึงครึ่งมวน   ไอ้หนุ่มแมงกาไซค์ปริศนาก็มาจอดอยู่ใกล้ผม 
 
     " เฮีย  พี่ถมยาให้มาแจ้งข่าวว่า  งานนี้ต้องพักเอาไว้ก่อน  พี่ถมยาแกต้องไปส่งเมียที่ท่าใหม่บ่ายนี้ครับ "
    ไอ้หนุ่มแมงกาไซค์ผู้มาใหม่ เอ่ยปากทักทายผม พร้อมล้วงไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบยาเส้นมามวนกับใบตองแห้ง  แต่ไม่สำเร็จสักที  เพราะอากาศมันร้อนและแห้งมากเกินไป  ใบตองสำหรับมวนยาเส้นจึงแตก ไม่สามารถหุ้มและมวนยาเส้นได้  ผมเห็นแล้วให้รู้สึกรำคาญเต็มที  จึงเปิดเบาะนั่งเพื่อค้นหาหีบบุหรี่  แล้วโยนบุหรี่ยี่ห้อ"สายฝน"ลงมาให้หนึ่งซอง  หมอนั่นยกมือไหว้ผมปะหลกๆ  

     " อุว๊ะ! ไอ้ถมยาต้องไปส่งเมียอีกแล้วรึว๊ะนี่ ? "

     ผมอุทานลั่น  ด้วยความขัดเคืองในอารมณ์   อันชายที่ชื่อ"ถมยา" นั้น  เขาคือเพื่อนผู้ร่วมผจญภัยในป่าของผมนั่นเอง  ตั้งแต่แต่งกับเมียสาวรุ่นเด็กกว่าหลายปี  หมอชักไม่อยากเที่ยวป่ากับพวกผมเสียแล้ว  หมอบอกกับผมว่า ตอนนี้หมอชอบเที่ยวป่าและปีนโคกที่บ้านหมอมากกว่า  มันสนุกและตื่นเต้นกว่าเที่ยวป่ากับผมเป็นไหนๆ  หมอว่างั๊น  และไอ้ที่ให้ไอ้หนุ่มแมงกาไซค์ที่ชื่อ " เบี้ยว" มาแจ้งข่าวกับผมนั้น ผมก็รู้ทัน  หมอไม่ได้ไปส่งเมียที่ท่าใหม่หร๊อก  แต่ก็น่าเห็นใจหมอนั่น  วาระข้าวใหม่ปลามัน  แถมเมียยังสาวรุ่นแบบนี้  เป็นใครก็อยากอยู่กับเมียสาววัยกระแรกรุ่นทั้งนั้นแหละ

      ไอ้หนุ่มแมงกาไซค์ส่งข่าวลับตาไปแล้วพร้อมกับฝุ่นแล่นตามตูดไปเป็นทางยาว   ผมทำงานไปก็คิดไปว่า  จะเปลี่ยนแผนเปลี่ยนโปรแกรมยังไง?  เพราะผมมีนัดกับอดีตพรานใหญ่ปลดระวางคนหนึ่ง ในบ่ายวันนี้เสียด้วยสิ  จะแจ้งข่าวเพื่อยกเลิกนัดหมายยังไงดี    สมัยนั้นราคาโทรศัพท์มือถือแพงมาก  ใช่ว่ามีโทรศัพท์มือถือแล้วคิดจะโทรเมื่อไหร่ก็ได้  โน่น...เราต้องเดินหาคลื่นสัณญาณโทรศัพท์กันไปบนเนินเขาสูงๆโน่นแหละ  แถมสัณญาณก็มาๆหายๆมักไม่เสถียรเอาเสียด้วย  ยิ่งในป่าในดงอย่างพวกผมนี้  อย่าให้พูดเลย  เดินหาคลื่นกันจนท้อเชียวแหละ

     ยามบ่ายแก่ๆของวัน   รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้ออันบุโรทั่งของผม   ก็มาจอดพรืดพร้อมขี้ฝุ่นตลบอบอวล  หมาไทยชาวบ้านป่าตัวผอมแกร็นสามสี่ตัวพากันเห่าเสียงขรม  สักครุ่ก็ส่งเสียงงี๊ดๆกระดิกหางเข้าหาคล้ายจะเจอเพื่อนเก่าต่างสายพันธุ์ยั่งงั๊นแหละ  ชายชราวัยเจ็ดสิบเศษผิวดำคลํ้าหลังงองุ้มแต่ดูแข็งแกร่ง  ตามตัวของแกเต็มไปด้วยรอยสักมากมาย   แกสวมกางเกงชาวเลแบบขาสั้นมายืนเกาะขอบประตูบ้านส่งยิ้มหวานมาให้   ชายชราผู้นี้เป็นสหายต่างวัยของผม  มิใช่ผมโมเมทึกทักเอาเอง  แต่เป็นสัจจะวาจาที่แกจับมือผมแล้วพูดออกมาเอง  ต่อหน้าขวดเหล้าและเสียงอ้อแอ้ชองแกเสียด้วยสิ  ดวงของผมมันต้องกับคนแก่ครับ  เพื่อนรุ่นแย้มฝาโลงบางคนที่มีนํ้าใจต่อกันกับผม  ต่างก็เป็นเพื่อนของพ่อผมมาเก่าทั้งนั้นแหละ   และผมก็ถือว่า" คนแก่เหล่านี้ก็คือมรดกที่พ่อผมยกให้" ครับ

     " เอ้า ! เถ้าแก  เข้าบ้านก่อน  ไหงว่าจะมากับไอ้ถมยาไงล่ะ  รับประทานโทษ ? "

     เสียงผู้เฒ่าเชื้อเชิญเป็นสำเนียงคนระยองให้ผมเข้าบ้านอย่างเป็นกันเอง  คำว่า"เถ้าแก่" ที่เป็นคำสรรพนามที่แกใช้กับผม  จริงๆแล้วแกใช้เรียกพ่อของผมต่างหาก  แต่นานไปมันคงติดปากของแก จนมาใช้กับผมจนชิน  แต่ผมเรียกแกว่า"ลุง"จนชินเช่นกัน
      " นั่งบนแคร่ข้างนอกนี่ดีกว่าลุง  ลมพัดเย็นดี"
       ผมพูดตามประสาคนขี้ร้อน  อากาศเมืองไทยแมร่งโคตรร้อนเลย  เพราะแทนที่ผมจะมาเกิดเมืองหนาว  แต่ผมดันพุ่งหลาวมาเกิดเมืองร้อนเสียฉิบ  ทุกวันนี้ผมยังเจ็บใจตัวเองไม่หายเลย  ดันเลือกดินแดนผิด  แหม...พูดถึงตรงนี้ทีไร  ผมอยากกลับไปเกิดใหม่ชิบเป๋งเลย คุณเอ๋ย   แต่ผมดันกลัวว่าจะไม่ได้มาเกิด (เป็นคน) อีกน่ะสิ  ข้อนี้สำคัญนักเชียว   ผมเดินไปที่รถ หยิบข้าวของต่างๆที่ซื้อมาจากตลาดเพื่อมาฝากแก  มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกสำหรับคนบ้านป่าอย่างแกและผม  ข้าวสาร กะปิ นํ้าป่า ยาเส้น และเหล้ายี่ห้อดัง  แค่นี้ก็ใช้ชีวิตในป่ากันอย่างไม่เดือดร้อนแล้ว  อะไรๆที่มากพิธีรีตองลีลาเยอะ  พวกผมไม่ถนัด แถมรำคาญเสียด้วยสิ
      " วันนี้ถมยาไม่มาด้วย  มันติดธุระด่วนครับลุง  วันนี้ผมเลยฉายเดี่ยวครับ"
      ชายชราผหงกหัวหงึกๆ  เป็นทีเข้าใจที่ผมสื่อสารออกไป  พร้อมกับยกแก้วเหล้าบร้่นดียี่ห้อรีเจนซี่แช่นํ้าแข็งจนหมดแก้ว  พร้อมเอาแขนป้ายปากส่งยิ้มไปทั่วทิศทั่วไทย 

     " รับประทานโทษ  ชื่นใจดีจริง ๆ นานๆได้กินทีนึง  เด็ดดีแท้หนอ "

    แกพูดพร้อมกับยกมือไหว้ผม  จนผมต้องรีบวางแก้วที่กำลังเตรียมเหล้าชุดใหม่ให้แกทันที  พร้อมพนมมือรับไหว้จากคนแก่อย่างฉุกระหุก  คนบ้านป่า คนโบราณสมัยก่อน  หัวใจของพวกเขาบริสุทธิ์คล้ายเด็ก  แต่ก็มั่นคงในสัจจะวาจายิ่งนัก  มันไม่แปลกเลยที่ผมชอบคบหาสมาคมกับคนแก่  หากคบหากับคนรุ่นเดียวกันหรือคนสมัยใหม่ๆผมไม่สนิทใจนัก   ผมกลัวโดนเพื่อนแอบแทงข้างหลังครับ

     " เต็มที่เลยลุง  แต่ผมเห็นจะร่วมวงได้ไม่นานหรอกอีเที่ยวนี้น่ะ "

     ผมกระดกเหล้าเข้าปาก  แล้วแจ้งจุดประสงค์อย่างเป็นนัยให้แกทราบ  พร้อมมองไปเบื้องหน้าซึ่งคือเขา"ห้าพระอินทร์" ซึ่งเป็นเทือกเขาส่วนหนึ่งของเขาสิบห้าชั้นอันยิ่งใหญ่   เมื่อผู้เฒ่ารับรู้ความต้องการของผม  แก้วเหล้าในมือของแกชะงักค้างโดยทันที  สายตาที่ขุ่นมัวของแกประสานกับสายตาของผมเพียงครู่  แล้วก้มหยิบเเศษเนื้อหมูป่าเค็มทอดเข้าปากเคี้ยวเยิบๆ  แต่หัวคิ้วของแกขมวดเข้าหากันแบบคนกำลังใช้ความคิด

     " รับประทานโทษ  จากตรงนี้เวลานี้  กว่าจะเดินถึงเขาห้าพระอินท์คงคํ่าพอดี  ยิ่งเวลานี้  นังแม่แปรกคุมฝูงหากินอยู่แถวตีนเขามาสองสามวันแล้ว  เมื่อวานนี้ ไอ้เทืองคนบ้านบ่อตามีออกไปหายิงเก้ง  หนีตายออกมาแทบไม่ทันเวลานี้ก็ไม่รู้ว่าพวกมันระเห็จออกกันไปหรือยัง ?  อย่าไปเสี่ยงเลยเถ้าแก่ "

     นี่เป็นข่าวใหม่ของผม  ก็เมื่อหลายวันก่อนมีข่าวว่า  ช้างป่าฝูงใหญ่คุมฝูงโดยแม่แปรกใหญ่  ออกหากินแถบบ้านบ่อไฟไหม้ใกล้ๆกับคลองครกโน่น  แถมเหมาสวนเผือกของชาวบ้านระแวกนั้น  เสียหายไปเกือบสิบไร่  ไอ้ผมก็ไม่ได้รู้สึกเฉลียวใจเลยว่า  พวกมันจะข้ามฟากมาถึงเขาห้าพระอินทร์ได้เร็วขนาดนี้   อีกอย่างผมก็ไม่แน่ใจว่า  พวกมันจะเป็นช้างป่าโขลงเดียวกันหรือไม่ ?
     " ผมตั้งใจมาแล้ว  ว่าจะหาเนื้อหมูป่ารุ่นๆสักตัวกลับบ้านที่สัตหีบ  ผมมาเที่ยวกับถมยาคราวที่แล้ว  เห็นรอยหมูป่าเต็มไปหมด  แต่เผอิญตอนนั้นผมไม่มีลูกโดดมาสักนัดเลย  ชวนถมยาแล้ว ว่าจะมาแก้มือกันบ่ายนี้  อย่างงี๊...ผมก็เสียความตั้งใจแน่เลยลุง "
     ." รับประทานโทษ  คนหนุ่มใจร้อนมักผลีผลาม  แถบนี้...ใช่มีหมูป่าที่เขาห้าพระอินทร์แห่งเดียวเสียเมื่อไหร่ล่ะ  โน่น  คลองโป่งโน่น  ข่าวว่าเดินกันเป็นเทือกเชียว  แถมออกมากินไร่แตงไทยยัยซิ้มหมดไปโขอยู่  เล่นเอาซ๊ะยัยซิ้มแทบหมดตัวเชียวล่ะ "
      อดีตพรานเฒ่าปลดระวาง  แจ้งข้อมูลใหม่ให้ผมทราบด้วยสำเนียงเหน่อระยอง  พร้อมกระดกรีเจนซี่ผสมนํ้าแข็งเย็นๆเข้าปากอย่างบรมสุข  

     " งั๊นก็ดีสิลุง  ผมจะได้มีเวลาหาที่เหมาะๆขัดห้าง  งั๊น อย่าช้าเลย  เวลาวารีไม่เคยคอยใคร  ผมขอรํ่าลาตรงนี้แหละครับ "
       ว่าแล้วผมก็เตรียมตัวออกเดินทางทันที  คงใช้เวลาเดินเท้าไม่ถึงสี่ชั่วโมง  ในพิกัดจากคำบอกเล่าของอดีตพรานปลดระวาง  ป่าในยุคสมัยที่ผมจริงจังกับการเที่ยวท่องนั้น  ยังมีความสมบูรณ์อยู่เป็นอันมาก  ไม่เหมือนในยุคปัจจุบันนี้ที่ป่าก็ค่อยๆหายไปทีละน้อยๆ  แต่ดันมีต้นยาง ต้นปาล์ม เงาะ ทุเรียน และมันสำปะหลังขึ้นมาแทน  เราได้ป่าเศรษฐกิจมาแทนป่าดงดิบ  บางที่บางแห่งก็เป็นภูเขาหัวโล้นก็มิใช่น้อยๆ  ฝนตกหนักๆทีนึง ก็เดือดร้อนกันทีนึงจนเป็นเหตุการณ์ที่ซั้าซากน่าเบื่อหน่าย  คนก็เดือดร้อน  สัตว์ป่าก็เดือดร้อน  เพราะคนรุกป่าทำลายบ้านของสัตว์ป่า  สมัยเมื่อผมเดินป่าเที่ยวป่ารอยต่อแห่งภาคตะวันออก  ป่าแห่งนี้มันกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน  สัตว์ป่าเดินทอดน่องหาเลี้ยงปากท้องได้สะดวก  โดยไม่ต้องไปหากินกับพืชไร่ของชาวบ้าน  ให้ต่างเดือดร้อนล้มตายทั้งสองฝ่าย  แต่วันร้ายคืนเลว  ใต้เท้าท่านก็ดันมาผ่าป่าใหญ่แห่งนี้ออกเป็นสองท่อนเฉยเลย  โดยอ้างความมั่นคง  ผมก็ไม่ทราบว่ามันเป็นความมั่นคงในกระเป๋าใครกันแน่   ผมกำลังหมายถึงถนนเส้น 3259 ระยะทางร่วมร้อยกิโลเมตร   ถนนมหาภัยเส้นนี้ผ่านพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก  สัตว์ป่าโดนรถยนต์ชนตายเป็นจำนวนมากในทุกๆปี  มีข่าวแว่วเข้าหูของผมเสมอว่า  "เก้ง" เป็นสัตว์ที่โดนรถยนต์ชนตายมากที่สุด  นี่ยังไม่นับสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆเช่น"เต่า"ต้วมเตี้ยม ซึ่งโดนเหยียบแบนแต๊ดแต๋ติดถนน  ปัญหาสำคัญอีกอย่างคือ เมื่อมีถนนผู้คนก็รุกบ้านของสัตว์  เมื่อสัตว์ทวงสิทธิ์คนก็ฆ่าสัตว์  จากนั้นสัตว์ก็ทำร้ายคน  วนเวียนกันไม่รู้จบ


      คลองโป่ง" เป็นป่าด้านทิศใต้ของ"เขาสิบห้าชั้น" สำหรับผมมองว่าเป็นเขตแดนเชื่อมระหว่างป่ากับเรือกสวนไร่นาของคน  ผมเดินผ่านไร่ฟักทองแปลงใหญ่  ดินใหม่ป่าใหม่เหมาะสำหรับปลูกผักหญ้าที่สุด  เพราะอาหารในดินสมบูรณ์มาก  ปุ๋ยเคมีนี่ลืมไปได้เลย  แต่ไร่ฟักทองแห่งนี้  ปรากฏร่องรอยกัดแทะอย่างทิ้งขว้างอย่างกลาดเกลื่อนของพลพรรคเหล่าหมูป่าทั้งหลาย  ผมเดินตามรอยหมูป่ากลุ่มนี้เข้าเขตป่ามาเกือบสี่ร้อยเมตร  ก้มดูนาฬิกาข้อมือที่ระบุเวลาว่ายังไม่สี่โมงเย็นเลย  ผมยังพอมีเวลาเดินสำรวจป่าแถวนี้ได้อย่างไม่เร่งรีบนัก  นกแซงแซวตัวสีดำสองตัว  สงเสียง"เงี๊ยวๆ หรือ เมี๊ยวๆ" ฟังดูคล้ายแมวร้องทักทายผม  นกเขาเปล้าสิบกว่าตัวตีปีกบินหนีคล้ายเหม็นสาปมนุษย์ขี้เหม็นไร้ประโยชน์  เถาบันไดลิงลำใหญ่ๆไต่เกี่ยวเกาะอยู่บนลำต้นยางนา  เบื้องหน้าของผมนั้นคือซากต้นมะค่าโมงที่ล้มพาดผืนดิน  เมื่อใช้เท้ายันที่ลำต้นเขย่าไปมาสักครู่  ตะขาบตัวใหญ่สีแดงแจ๋เลื้อยหนีมาทางปลายเท้า  ผมโดดหนีออกห่างอย่างหวาดระแวง  เมื่อแหงนดูบนต้นแดงที่เลยเหนือหัวของผมไปเพียงนิดเดียว  ร่องรอยฟ้อนเล็บจนเปลือกกระจุยกระจายของหมีควายหล่นเกลื่อนพื้น  รอยยังใหม่เอี่ยมสดๆร้อนๆ  พลันนั้นเสียงกระรอกตัวสีขาวปนด่างร้องดัง"ก๊อกๆ"  ผมรีบปลดปีนไรเฟิ้ลออกจากบ่าอย่างเตรียมพร้อม  เพราะไม่แน่ใจว่ามันร้องทักผม หรือร้องทักอะไร ? แม้เพิ่งจะสี่โมงเย็น...แต่ในป่าทึบเช่นนี้  มันก็คล้ายเวลาโพล้เพล้ในฤดูหนาว  เงียบ...ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบเหมือนเป่าสาก  ยิ่งเดินยิ่งลึก  ผมยิ่งรู้สึกบรรยากาศมันเริ่มเย็นยะเยือก  เหลียวมองรอบกายเห็นป่าใกล้มืดมิด  ผมรู้สึกผิดปกติ นาฬิกาบอกเวลาว่าเกือบห้าโมงเย็นแล้ว  ตายห่า...ผมว่าผมเดินจากไร่ฟักทองจนถึงตรงนี้  มันไม่ควรใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงเลย  เพียงแค่คิดถึงตรงนี้  เส้นขนด้านหลังก็ลุกไล่มาจนถึงหนังหัว  พวกมันพากันลุกซู่โดยไร้สาเหตุ  ผมไม่เคยเชื่อเรื่องไร้เหตุผล จำพวกผีสางนางไม้  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ ความขลัง  สิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง  ผมถูกสอนมาเช่นนี้  

      ต้น"สมพง"ต้นนั้น มันโค้งงอลดเลี้ยวเลื้อยไหลอย่างผิดธรรมชาติ  มันใกล้ชิดติดต้นตะแบก   เหลียวมองขึ้นไปประมาณห้าหกเมตร  ปรากฏห้างกลางเก่ากลางใหม่ขัดไว้คล้ายรอผม  ด้านล่างคือด่านใหม่ๆที่สัตว์ป่าเหยียบยํ่าไว้เป็นทางเดินที่ยาวออกไปจนลับตาเพราะป่าบดบัง  รอยเท้าของหมูป่า รอยเท้าของสัตว์กีบเช่นเก้งเดินเกลื่อน  มิน่าเล่าตรงนี้จึงมีห้างยิงสัตว์   ปืนและสัมภาระถูกวางชิดติดมุมหนึ่ง  ผมหยิบใบชาแห้งมาอมไว้ในปากจนชุ่ม  แก้อาการอยากดื่มชา  สายตาก็พรางสอดส่ายกำหนดพื้นที่ด้านล่าง เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินยามคํ่ามืดในยามพลัดจากห้าง  เช่นช้างหรืออื่นๆรุกไล่  ใกล้คํ่าเต็มทีแล้ว  เสียงแมลงป่ากรีดปีกส่งเสียงบรรเลงบทเพลงแห่งไพรระงม  เสียงหมาป่าหอนโหยหวนแว่วมาตามลม  ลมป่าโชยพัดมาทางทิศใต้  มันนำกลิ่นดอกไม้ป่าบางชนิดส่งกลิ่นหอมบางเบาโชยมาตามลม  ผมหลับตาซึมซับกลิ่นหอมนั้นอยู่ระยะหนึ่ง   ตัวนิ่มเดินบนด่านผ่านหน้าของผมไปอย่างเชื่องช้า  เก้งหม้อเดินๆหยุดๆก่อนผ่านหน้าของผม  จมูกของมันขยับไปมาคล้ายหากลิ่นแปลกปลอม  เมื่อเป็นที่หายข้องใจแล้วมันก็เดินจากไป   พอสามทุ่มเศษๆ แสงจันทร์ก็โผล่พ้นสันเขาสอยดาวใต้อันไกลโพ้น   เวลาเว้นว่างมาเกือบสองชั่วโมงโดยไม่ปรากฏสัตว์ชนิดใดเดินผ่านหน้าห้างของผมเลยสักตัว  แม้กระทั่งหมูป่าที่ผมเฝ้ารอคอย   ผมสูบบุหรี่ซึ่งเป็นข้อห้ามในการนั่งห้างเพื่อบรรเทาอาการง่วงหาว   ห้าทุ่มแล้ว ป่าทั้งป่าเงียบกริบคล้ายป่าช้าผีดิบ  เสียงฟ้าร้องครืนๆแว่วมาจากทางทิศเหนือเบาๆ  ผมขยับกายกางแขนบิดขี้เกียจคลายเมื่อยขบอย่างแผ่วเบา  ข้าวเหนียวหมูย่างถึงเวลาคลายหิวของผมแล้ว  กินไปสายตาก็มองป่ารอบตัวไป  พร้อมกับตรวจสอบความพร้อมของปืนคู่ชีพอีกครั้ง  

      เสียงฟ้าร้องครืนๆแว่วดังใกล้เข้ามา  ผมรีบค้นหาเสื้อคลุมพลาสติกกันฝน   เพียงไม่ถึงสิบนาทีฟ้าก็รั่วเหมือนเทนํ้าลงบนผืนป่า  ประกายแสงฟ้าแลบแปลบปลาบถี่ระยิบระยับจนทั่วผืนไพร  เหล่าต้นไม้โยกไหวซ้ายขวาตามพลังลมฝน  เสียงห้างที่ผมนั่งลั่นเอี๊ยดอ๊าดจนผมต้องใช้ไฟฉายตรวจสภาพความมั่นคงของมัน   ปลายปืนไรเฟิลในมือโผล่ออกมาจากเสื้อกันฝน  ในลักษณะเอียงลงตํ่ากันนํ้าเข้า   หมด หมดกัน  ฝนหนักอย่างนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากนอน  ผมเอนตัวพิงต้นตะแบกหลับไหลโดยไม่รู้ตัว   

     นํ้าหยดหนึ่งหล่นโดนมือที่จับปืนของผม  ผมคงเผลอหลับโดยไม่รู้ตัวจนเสียอาการนิ่ง  มือจึงโผล่ออกมาพ้นชายเสื้อกันฝนจนโดนนํ้าหยดใส่  ฝนป่าหยุดไปเมื่อไหร่ไม่ทราบได้  พระจันท์ข้างขึ้นเต็มดวงส่งแสงลงสู่ผิวใบไม้ที่อาบนํ้าฝนจนเป็นประกายระยิบระยับทั่วดงพงไพร  นาฬิกาที่ข้อมือระบุเวลาตีสามเศษๆ  ผมล้วงมือมายิบกระปุกบรั่นดีอันเล็กมาดื่มเพื่อบรรเทาความเหน็บหนาว  ฤทธิ์เหล้ามันร้อนผ่าวจนถึงท้อง  มันปลุกประสาทความรู้สึกเฉื่อยชาให้ตื่นตัวขึ้นทันที  ขณะผมกำลังจุดไฟแช็กเพื่อสูบบุหรี่  เสียงเดินยํ่าดินแฉะปนนํ้าแว่วมาแผ่วเบา  เสียงนั้นมุ่งมายังหน้าด่านที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้   ผมรีบวางไฟแช็คแล้วเอียงหูจับตาเพ่งมองสัณญาณเจ้าของเสียงนั้น  บนด่านเล็กๆด้านขวามือที่ห่างจากผมไปไม่เกินห้าสิบเมตร  ใบไม้ที่เปียกชุ่มด้วยหยาดนํ้าฝนงดงามยิ่งเมื่อโดนกระทบแสงจันทร์  มันส่ายไปมาจนหยดนํ้ากระเซ็นคลายโดนวัตถุชนิดหนึ่งกระทบเบาๆ  ผมจ้องมองอย่างสงสัยเต็มทีโดยไม่กระพริบตา   หมูป่าตัวนั้นเดินส่ายไปมาโดยมุ่งหน้ามาตามเส้นทางด่าน  ท่ามกลางแสงจันทร์ ในคืนข้างแรม ที่เล็ดลอดต้นและใบไม้ป่า  สิ่งที่ผมเห็นในขณะนี้มันจะกลายเป็นคำถาม  และข้อสงสัยของผมไปตลอดชีวิต  หมอกควันบางอย่างหมุนวนไปมาคล้ายรูปร่างของคน  มันอยู่ด้านหลังของหมูป่าตัวนั้นเพียงไม่เกินหนึ่งเมตร  อากัปกิริยาของมันคลายติดตามหมูป่าตัวนั้นมาติดๆ   ขณะนั้นผมเหมือนโดนสะกดอยู่ที่กลุ่มหมอกควันประหลาดนั่น  โดยไม่ได้สนใจหมูป่าตัวนั้นเลย  ยิ่งเจ้าหมูป่านั่นมันเดินใกล้เข้า  ใกล้เข้ามา  หมอกควันประหลาดนั่นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ๆ  ให้ตายเถอะ...ผมสาบานให้ก็ได้ว่า  หมอกควันประหลาดนั่นมันคล้ายคนเป็นที่สุด  ขอยืนยันว่า  ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของผมสมบูรณ์พร้อมทุกประการ  เส้นขนบนหัวบนแขนของผมลุกตั้งชูขันต่อสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างพิสดาร  ผมนั่งนิ่งตะลึงตัวแข็งทื่อคล้ายฝันไป  บัดนี้เจ้าหมูป่าและเจ้ากลุ่มหมอกควัน  ได้เคลื่อนมาอยู่ตรงหน้าห้างของผมแล้ว  ในม่านตาที่แข็งค้างของผม  หมอกควันประหลาดกลายกลับเป็นชายวัยกลางคน  กางเกงชาวเลสั้นๆขาดๆ เก่าๆ  เสื้อแขนสั้นสีดำๆมอๆไม่ติดกระดุม  รอยสักเต็มผืนอกและผิวกายอันดำคลํ้า  ในปากของเขาเคี้ยวหมากจนปากแดงชัดเจน  เขาเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตาอันแข็งกร้าวเย็นชา  เขาตบมือขึ้นสามครั้ง  ในขณะผมตะลึงจ้องมองเขาอยู่นั้น  ฉับพลัน ผมก็สะดุ้งขึ้นสุดตัว  บุหรี่ที่คาอยู่ในปากหล่นมาโดนแขนจนผมตกใจ  ความร้อนจากไฟปลายบุหรี่ปลุกเตือนให้สติของผมกลับคืนมา ปีนไรเฟิลในมือตวัดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยผมแทบไม่รู้ตัว   เสียงปังลั่นป่ายามดึกสงัดสงบมืดมิด  หมูป่าทั้งตัวล้มครืนนิ่งสนิทในทันที  ขณะสมาธิของผมจดจ่ออยู่ที่หมูป่าเพียงไม่กี่วินาที   เมื่อเหลียวมองหาชายหรือหมอกควันประหลาดนั้นก็หาไม่พบแล้ว   มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อขนหัวลุกชูชัน  นี่ผมเจอดีเข้าให้แล้วหรือ ? ผมถามตัวเองในใจ  .
26 - 08 - 2024


14 สิงหาคม 2567

เรื่องสั้น ยํ่าไพร ตอน เพื่อนหาย ( พ.ศ. 2533-2534 )

 

                                                            



           


       เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน  พวกผมเหล่านักท่องป่าหน้าใหม่  อายุของแต่ละคนไม่เกินยี่สิบห้าปี  สมัยนั้นพวกเราล้วนกำลังบ้านิยายเรื่อง"เพชรพระอุมา"กันถัวนทั่ว  ส่วนผมนั้น"บ้า"เพชรพระอุมา"ตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยนต้นแล้ว รักษาก็ไม่ยอมหาย  ส่วนเพื่อนๆของผมมันก็รับเชื้อนี้จากผมไปอีกต่อหนึ่งครับ 

       ย่างเข้าฤดูร้อนในปีนั้น  พวกเราคนชอบเที่ยวป่า ต่างดีอกดีใจที่มีโอกาสมามั่วสุม เอ๊ย! มารวมตัวกันอีกครั้ง  ป่าภาคตะวันออกมันกว้างใหญ่ไพศาลนักในสายตาของพวกเรา  เอาแค่เขาสิบห้าชั้นเขตอำเภอแก่งหางแมวใกล้ๆไร่ของผม  แค่นี้ก็เที่ยวกันเกินสนุกแล้ว  ไม่ต้องไปถึงเขาสอยดาวและป่าเขาอ่างฤาไนเขตเมืองแปดริ้วหรือป่าที่อยู่ติดกันเลยสักนิด  สมัยที่พวกผมเที่ยวกัน  ป่าบางแห่งยังไม่ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเสียด้วยซํ้า  เช่นป่าเขาสิบห้าชั้นที่ผมกล่าวถึงนี่แหละ  เราเที่ยวกันโดยไม่ต้องอาศัยพรานเจ้าถิ่นนำทาง  เพราะพวกเราเที่ยวกันแบบไปเรื่อยเปื่อยเมื่อยก็พัก  แต่เน้นหนักหาที่กินเหล้า  เราเที่ยวป่ากันในลัษณะนี้อยู่หลายครั้ง  จนวันหนึ่ง ...ในป่ารอยต่อระหว่างเขาสิบห้าชั้นกับเขาสอยดอยใต้  ไอ้ชัย หรือพรชัย เพื่อนคนหนึ่งในก๊วนของเรา  หายไปอย่างลึกลับ  เพื่อนบอกว่าอยากกินไก่ป่าเต็มทน  หลังจากนั่งฟังเสียงมันร้องอยู่นานแล้ว  ว่าแล้วเพื่อนก็คว้าปืนลูกซองเบอร์สิบสองเดินหายลับไปหลังดงผักกูดสลับดงบอนป่า

       " เฮ๊ย เอาไฟฉายไปด้วยสิว๊ะ เดี๋ยวมันก็จะคํ่าแล้วนะเว๊ย"

       เสียงเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มร้องเตือนออกไป  เพราะในขณะนั้นมันก็ใกล้คํ่าอยู่มะรอมมะร่อแล้ว

       " ฮี่โธ่! แค่นี้เอง เอ็งทำนํ้าจิ้มรอไว้ได้เลย แต่ติดตัวไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน "

       เสียงและตัวของเพื่อนหายลับไปในป่า  พวกเราไม่รู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องแบบนี้นัก  เพราะเรารู้จักเพื่อนคนนี้ดี  สักพักใหญ่เสียงปืนลูกซองก็ดังก้องป่าหนึ่งนัด  ผมนั่งเอียงคอฟังอย่างตั้งใจ เผื่อจะมีอีกนัดตามมา แต่มันก็เงียบไปอย่างถนัด   เวลาผ่านไปจนบรรยากาศมืดคํ่าเต็มที  นกกาบินหายลับกลับรังจนหมดสิ้นแล้ว ค้างคาวหนูเริ่มบินโฉบเฉี่ยวให้เห็นมากตัวขึ้น  หรีดหริ่ง ลองไน เริ่มบรรเลงบทเพลงกล่อมผืนป่ายามราตรีดังอึงคะนึง  

      " เฮ๊ย ไอ้ชัยมันไปถึงไหนของมันว๊ะ ? ป่านนี้แล้ว"

      เสียงเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจ  พวกเรามองหน้ากันเป็นเชิงคำถาม ถึงความไม่ปกติในสิ่งที่เกิดขึ้น  เพื่อนคนหนึ่งฉายไฟกราดไปมายังทิศทางของไอ้ชัยที่เดินหายลับไปในป่าอันรกทึบมืดดำ 

      " เห็นจะนั่งรอกันแบบนี้ไม่ไหวแล้วล่ะว่ะ  ใครจะเอายังไงก็ว่ามา ?"

      ไอ้จั๊ว ลุกขึ้นยืน ถามเพื่อนๆทุกคนอย่างร้อนใจ  พร้อมก้มลงไปหยิบมีดเดินป่าอาวุธประจำกายของมัน

      " ไอ้ตง เอ็งไปกับข้า ไอ้ช่วยกับไอ้จั๊วอยู่เฝ้าแคมป์ที่นี่แหละ ก่อไฟให้กองใหญ่กว่านี้ อย่าให้ไฟมอดล่ะ  "

       ผมหยิบมีด"สปาต้า"อันเป็นมรดกจากยุคสงครามเวียดนามมาถือไว้มั่น พร้อมกับแจ้งความประสงค์กับเพื่อนๆ  เพราะทนนั่งรอเพื่อนพรานไก่ป่าอย่างอึดอัดต่อไปไม่ไหว  ส่วนไอ้ตงก็ถือมีดเดินป่าอย่างเตรียมพร้อม  ไอ้จั๊วทำท่าจะไปด้วยให้ได้  แต่ผมอธิบายให้มันฟังว่า  สำหรับป่านี้ผมมีประสบการณ์มากกว่าเพื่อนทุกคน  นั่นแหละมันจึงจำใจยอมรับ  

        ป่าเขาสิบห้าชั้นสมัยผมเที่ยวกันนั้น  เป็นป่าฝนป่าทึบทะมึนแทบทั้งผืน  ไข้มาลาเรียค่อนข้างแรง  แต่คนรุ่นผมยังไม่เคยได้ยินประเภทป่วยตอนเช้าแล้วตายของสายๆอีกวัน  แต่ป่าสมัยคนรุ่นพ่อรุ่นลุงของผม ไอ้เรี่องจับไข้จนเพ้อจนสั่นตอนเช้ามืด แต่พอตกคํ่าก็ตายนั้น  ผมได้ยินมาบ่อยจนคุ้นหู  ถึงสมัยที่ผมเที่ยวกันยามนี้ก็เหอะ  ไอ้ตรงไหนมีลักษณะมีเถาวัลย์ปกคลุมไม้อื่นจนทึมทึบ  พวกเราจะไม่เดินเฉียดผ่านเป็นอันขาด  เพราะเราไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นหมู่บ้านหรืออาณาจักรของยุง"ก้นป่อง"หรือไม่ ? นํ้าในป่าที่เราใช้ดื่มกินนั้น  พวกเราต้องต้มให้สุกก่อน  เรากลัวเชื้อไข้มาลาเรียเป็นที่สุด  ผมเคยเห็นอาการป่วยเพราะไข้ป่ามาลาเรียของพรานป่าคนหนึ่ง  แกนอนจับไข้สั่นอย่างทรมาน  แต่อีกเพียงไม่ถีงชั่วโมงแกก็หายจากอาการสั่น  อีกสักพักใหญ่ๆต่อมาแกก็สั่นคล้ายคนหนาวอีก  สลับไปมาอย่างนี้  พอตกใกล้คํ่าแสงสุริยายังไม่ลับตาดี  มาดูอีกทีแกก็นอนตายลืมตาโพรงเสียอย่างงั๊นแหละ  สรุปตั้งแต่เริ่มป่วยจนตาย  ไข้ป่าชนิดนี้ใช้เวลาฆ่าคนไม่เกินสี่สิบชั่วโมง

         ผมกับไอ้ตงเร่งรุดตามหาเพื่อนอย่างร้อนใจ  มีเพียงอาวุธมีดเท่านั้นที่เป็นเขี้ยวเล็บของเรา  เพราะทั้งก๊วนเที่ยวป่าของเรามีเพียงปืนลูกซองกระบอกเดียวเท่านั้น  และยามนี้มันก็อยู่ในมือของเพื่อนผู้เงียบหายอย่างเป็นปริศนาของเรา ก็อย่างที่บอกก๊วนของเราแค่มาหาความสุขในป่าเท่านั้น  ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น  การมีปืนก็แค่หาสัตว์เล็กเช่นไก่ป่า กระต่าย กินประทังชีวิตและป้องกันตัวจากภัยต่างๆเท่านั้น   

          ผมใช้มีดฟันกิ่งไม้ที่ขวางหน้าพร้อมส่งเสียง"โฮ็ะๆ"ไปตลอดทาง  เพื่อเป็นการไล่สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ที่ใหญ่กว่าเช่นหมีควาย  กับป่าที่มืดมิดเรากลัวกันเหลือเกินกับการประจันหน้ากับสัตว์เจ้าของบ้าน  ป่าเขาสิบห้าชั้นมีหมีควายเยอะที่สุด  แล้วพวกก็ออกหากินกันทั้งกลางวันและกลางคืน  เกิดประเหมาะเคราะห์ร้ายเดินไปชนกับคุณพี่แกเข้า  มีหวังหน้าแหกหมอไม่รับเย็บเป็นแน่  แต่ที่แย่ที่สุดคือคืนนี้เป็นคืนข้างแรมเดือนมืด  ทั้งป่าเหมือนถูกทาด้วยสีดำ  การมองเห็นเป็นจึงเรื่องยากลำบาก    เราอาศัยไฟฉายขนาดห้าท่อนเป็นสายตาให้  ร่อยรอยของเพื่อนผู้สูญหายยังปรากฏให้เห็น  มีรอยหักกิ่งไม้ไว้เป็นระยะ นับว่าไอ้ชัยรอบคอบพอตัว  เราสองคนโผล่มาหยุดอยู่กลางด่านเล็กๆซึ่งเป็นทางเดินของสัตว์  ผมกำลังตัดสินใจว่าจะไปซ้ายหรือขวาดีหนอ?  พยายามฉายไฟหาร่องรอยของเพื่อน  ด้านขวามือของผมประมาณสามสิบเมตร  ปรากฏดงไผ่ป่าหมู่ใหญ่  บนพื้นดินใต้กอไผ่มีบางอย่างสะท้อนแสงไฟฉายวิบวับอยู่ไปมา  ผมรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล  ผมและเพื่อนเร่งก้าวเท้าไปอย่างรวดเร็ว

     "  ปืนของไอ้ชัย"

     ไอ้ตง หรือบุญตง เอ่ยออกมาอย่างหวาดหวั่นใจ  เบื้องหน้าของเราคืออาวุธปืนลูกซองของเพื่อนผู้สาบสูญ  และสิ่งที่สะท้อนแสงไฟฉายของผมคือ แผ่นโลหะที่ติดอยู่กับตัวปืน  

      " ปืนอยู่นี่  แล้วเจ้าของปืนอยู่ที่ไหน ?"

      ผมกระซิบบอกกับเพื่อนแล้วส่งสายตา เหมือนกำลังขอความเห็นจากเขา  ไอ้ตงสอดส่ายสายตาไปมาตามแสงไฟฉาย  กิ่งไผ่ทุกกิ่งไม่ปรากฏไก่ป่าสักตัว  จะว่าพวกมันตกใจเสียงปืน...ก็มีความเป็นไปได้  เราเดินสำรวจมาจนถึงเศษกิ่งไผ่แห้งๆหลายกิ่ง บนพื้นดินแห้งมีเศษใบไผ่กระจุยกระจาย พร้อมปรากฏเศษขนของสัตว์ชนิดหนึ่งตกอยู่เป็นหย่อมเล็กๆ   ไอ้ตงก้มไปหยิบขึ้นมาพิจารณา

       " นี่มันขนของตัวอะไรว๊ะ ? "    

        ไอ้ตงเพ่งมองจนหัวคิ้วขมวด  พร้อมยื่นเศษขนชนิดนั้นหยิบมาให้ผมดู  ท่าทางหมอนี่ไม่สบายใจนัก  ซึ่งก็เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับผม

       " ข้าก็ไม่รู้ว่ะ  "

    ไอ้ตงเงยหน้ามองผมอย่างข้องใจ  

     " อะไรว๊ะ! เอ็งไม่รู้จริงๆง่ะ ?"

     มันใช้สายตาคาดคั้นผม  คล้ายต้องการคำตอบอย่างร้อนใจ ผมทำท่าจุ๊ปาก...จ้องตาของมันแล้วกระซิบว่า

     " ไอ้ดาว"

     ไอ้ตงทำท่าผงะแทบล้มหงายหลังในทันที  มันทำตาโตอ้าปากพึมพำว่าเสือดาว  สมัยนั้นป่าเขาสิบห้าชั้นมีความสมบูรณ์มาก จัดว่าเป็นป่าดงดิบขนานแท้ พรานอาชีพคนหนึ่งเคยกล่าวกับผมทำนองว่า การพบเสือโคร่ง เสือดาว หรือเสือดำ ไม่ต้องอาศัยปาฏิหาริย์เลยสักนิด  กับเสือดาว หรือไอ้ดาวนั้นผมเชื่อว่าป่าแห่งนี้มีแน่นอน  และออกจะชุกชุมเสียด้วย  แต่กับไอ้ดำหรือเสือดำ รวมไปถึงไอ้ลายพาดกลอนหรือเสือโคร่งนั้น  ผมไม่เคยเชื่อว่ามี  เพราะผมไม่เคยได้ยินพรานทุกรุ่นเอ่ยถึงเลยสักครั้งในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา  ผมว่าอีตาพรานที่พูดนั้น ถ้าแกไม่บ้านํ้าลาย แกก็เมาเหล้าป่าเป็นแน่  

      " แล้วทีนี้จะเอาไงต่อว๊ะ"

     เสียงเพื่อนถามผมเพื่อขอความเห็น  นั่นน่ะสิ! จะเอายังไงต่อดี ? ผมมารู้สึกตัวตอนนี้เองว่า  ผมพาเพื่อนเข้าป่ามาลึกจนเกินไปแล้ว  ไอ้ครั้นจะถอยหลังกลับ โลกก็จะติติงเอาว่าขี้ขลาด  ป่ายิ่งลึก สัตว์ร้ายก็ยิ่งชุม  ไข้ป่าก็ยิ่งแรง  ประเภทเป็นไข้ป่าตอนเช้า  แต่ตอนเย็นของอีกวัน พวกก็นอนตัวแข็งทื่อแล้ว  แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ"คน" ด้วยกันนี่แหละ  คนพาลสันดานหยาบ ไม่ว่าในป่าหรือในเมือง   เลี่ยงได้หลบได้ก็จงกระทำโดยพลันเถิด   อีกเรื่องหนึ่งคือ ในยามปกติแล้ว  ไม่เคยมีพรานป่าคนไหนกล้าเดินป่าในยามคํ่าคืนเป็นเด็ดขาด  แต่คนอย่างพวกผมแม้ไม่ใช่คนกล้า แต่ความบ้าพวกผมมีนับไม่ถ้วน   เราสองคนตะโกนเรียกเพื่อนจนเริ่มเจ็บคอ  แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบสนิท  ผมรู้สึกอึดอัดขัดใจ จึงยิงปืนขึ้นฟ้าเสียงลั่นจนไอ้ตงสะดุ้งแล้วด่าผม โทษฐานที่ยิงปืนแล้วไม่บอกมัน

        " แล้วจะเอายังไงกันต่อว๊ะนี่ ?"

       ไอ้ตงหันมาปรึกษาผมอย่างกังวลใจ  ผมเหลียวมองฝ่าความมืดไปรอบๆตัว  ไฟฉายห้าท่อนในมือส่ายไปมาโดยรอบทิศทาง  ผมขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิดกังวล คล้ายตัดสินใจไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น  

       " ก็ตามต่อสิว๊ะ  แต่เอ็งหมั่นมองด้านบนเอาไว้บ้างก็แล้วกัน เผื่อไอ้ดาวไอ้ดำมันโจนใส่น่ะ"

        ผมตัดสินใจเด็ดขาด  ในการติดตามเพื่อนผู้สูญหายอย่างลึกลับ

     " เฮ๊ย! ข้าถามเอ็งจริงๆเหอะว๊ะ  พวกเราเที่ยวป่านี้กันมาหลายครั้ง  ทำไมเพิ่งมาเจอเสือกันอีตอนนี้ว๊ะ"

        ไอ้ตงตั้งคำถามจนผมสะดุ้ง  ผมจึงแกล้งจุ๊ปากเป็นความหมายสื่อให้มันหุบปาก   ผมไม่อยากบอกมันว่า  เพราะความอวดดีของผม  ในการพาเพื่อนๆเช้ามายังป่าที่ลึกเกินไป  มันเป็นป่าที่ผมก็ไม่เคยเที่ยวท่องมาก่อน  ขืนบอกไปก็เกรงว่ามันจะกังวลใจมากกว่าเดิม การหายไปของพรชัยหรือไอ้ชัย สร้างความปั่นป่วนและวิตกในก๊วนคนเที่ยวป่าของพวกเราอย่างยิ่ง  ต่างก็โทษกันเองว่าไม่น่าปล่อยเพื่อนไปคนเดียว บ้างก็ว่า รู้งี๊ตามไปเป็นเพื่อนด้วยก็ดีแล้ว  

         " เฮ๊ย! เอ็งพูดซ๊ะข้ากลัวเลย ป่านี้เสือมันชุมนักเหรอว๊ะ  ถึงให้มองแต่ข้างบนน่ะ "

         ผมเงียบไม่ตอบในคำถามของมัน  ไฟฉายส่องหาร่องรอยของเพื่อนพรานไก่ป่า  ไปตามพื้นหญ้าและด่านสัตว์เบื้องหน้า  แต่มันก็ยากเย็นเสียเหลือเกินในการแกะรอย  สำหรับพรานจำเป็นอย่างผม  ต่อให้พรานอาชีพก็เหอะ  คงไม่มีพรานคนไหนทำกัน  อย่างที่ผมสองคนกำลังทำอยู่ในขณะนี้   ความเป็นห่วงเพื่อนแท้ๆ  ทำให้เราสองคนลืมกลัวลืมกฏป่าจนสิ้น   

          ฟ้าเริ่มจะสาง กองไฟที่ก่อไว้เมื่อคืนเริ่มจะโรยรา  ควันไฟลอยล่องแผ่วเบาสู่เบื้องบนคล้ายไว้อาลัยต่อบางสิ่ง เสียงไก่ป่าโก่งคอขันต้อนรับอรุณจนรอบทิศทาง  นํ้าค้างพร่างพรมบนเหล่าใบไม้ใบหญ้า  หมอกบางๆล่องลอยอ่อนช้อยรอบตัวของพวกเรา  เสียงชะนีหวนโหยมาแต่ไกลๆ  ผมกับไอ้ตงคลำทางกลับมายังแคมป์อย่างอ่อนร้าโรยแรง เอาเมื่อตอนรุ่งสางนี่เอง  พอแสงแดดเริ่มโลมเลียผืนป่า  เราทั้งหมดก็มุ่งหน้าค้นหาเพื่อนผู้สูญหายอย่างรีบเร่ง  เราแกะรอยมาตามทางด่านเล็กๆ กลางป่าไผ่หนาม  ผมพาเพื่อนๆเดินอ้อมรังต่อหลุมขนาดย่อมๆ  ผมรู้สึกขนลุกซู่เมื่อเห็นรังของมัจจุราชมีปีกชนิดนี้  ก็เมื่อคืนผมกับไอ้ตงก็เดินบนเส้นทางนี้  แต่ผมไม่ยักเห็นรังต่อหลุมมรณะนี้  ไอ้ตงเหลือบมามองผมแล้วจุ๊ปากส่ายหน้าโดยไม่มีใครเห็น เมื่อคืนผมกับไอ้ตงหวุดหวิดกลายเป็นผีเฝ้าป่าแห่งนี้ไปแล้ว  ฉากคือความมืดแล้วผมก็สาบานได้ว่า  ผมไม่เห็นรังต่อมหาภัยนี่จริงๆ   แคล้วคลาดดีแท้หนอ  พวกเราเดินผ่าน"กำจัดต้น"ไม้ใหญ่ขนาดสองคนโอบ  ร่องรอยฟ้อนเล็บของหมีควายประทับอยู่บนเปลือกของมัน จากพื้นดินจนเลยเหนือศรีษะของพวกเราไปประมาณสองเมตรเศษ  ผมได้แต่ภาวนาว่า ทั้งมันทั้งพวกเราอย่าได้เจอะเจอกันในเวลานี้เลย  

           พวกเราเดินบนด่านเล็กๆ  พยายามสอดส่องหาร่องรอยของไอ้ชัยมาตลอดทาง  เสียงลิงวอกสองสามตัวบนกิ่งต้น"ไข่เน่า"ส่งเสียงทักทายกันขรม  พญากระรอกดำกระโดดหนีไปยืนจ้องพวกเราบนกิ่งต้น"ตะขบป่า" มันส่งเสียง"ก๊อกๆ" เตือนชาวสัตว์ป่าทั่วไป  ว่ามีอาคันตุกะแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนในถิ่นป่าของมัน   ป่าหน้าแล้งเดินง่ายกว่าป่าหน้าฝน  โดยเฉพาะบนทางด่านทางเดินของสัตว์ เราแทบไม่ต้องใช้มีดฟาดฟันต้นไม้ที่ขวางทางเดินเลย  ป่าทึบดงมืดแสงแดดแทบส่องไม่ถึงผิวดิน  เสียงนํ้าในท้องของสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งร้องลั่นแว่วมา  ผมซึ่งเป็นคนนำทางชะงักกึกอย่างฉับพลัน  จนร่างของไอ้จั๊วที่เดินตามหลังผมมา ชนผมอย่างจัง 

           " เฮ๊ย! ไอ้หอกหักเอ๊ย  จะหยุดก็ไม่เสือกบอก ปลายปืนพ่องมึงกระแทกหน้าข้าเข้าแล้วนี่ อูย"

           เสียงไอ้จั๊วบ่นขรมต่อว่าผมพร้อมร้องโอย  ส่วนไอ้พวกที่เหลือซึ่งก็เดินตามกันมาเป็นแถวเรียงหนึ่ง  ต่างทำหน้าตาตื่นเพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

          " เงียบโว๊ย เงียบก่อน ฟังเสียงนั่นสิ "

      ผมใช้นิ้วชี้ปิดปากบอกให้เพื่อนๆเงียบ  พร้อมกับย่อตัวนั่งนิ่ง  สายตาของผมส่ายไปมาเพื่อค้นหาเสียงประหลาดไอ้พวกที่อยู่ด้านหลังของผม  คงเริ่มรู้ตัวถึงความผิดปกติบางอย่างเข้าให้บ้างแล้ว  ผมค่อยๆปลดปืนออกจากไหล่แล้วกระชับมั่นเตรียมพร้อม   คอยรับสถาณการณ์ที่อาจบังเกิดขึ้นอย่างเงียบกริบ  ไอ้ช่วยซึ่งนั่งนิ่งอยู่ท้ายสุด  สายตาของมันจ้องดูพฤติกรรมของผมอย่างไม่วางตา  หัวคิ้วของมันชนกันคล้ายฉงนสงสัยเต็มที

           " ไอ้แป๊ะ เอ็งเจออะไรว๊ะ ?"

          ไอ้ช่วยส่งเสียงถามผมมาเบาๆ  ไอ้ตง ไอ้จั๊ว ก็ส่งสายตาคล้ายสอบถาม และต้องการคำตอบจากผมเช่นกัน  ผมกระซิบบอกเพื่อนๆไปว่า

           " ข้าได้ยินเสียงนํ้าในท้องช้างมันร้อง ว่ะ"

           พวกมันหันหน้ามามองกัน  แล้วหันมาจ้องหน้าผม พร้อมพูดพร้อมๆกันดังๆว่า 

            " เอ็งได้ยินเสียงนํ้าในท้องช้าง ? "

       " เออ  แล้วพวกเอ็งไม่ได้ยินกันมั่งเหรอว๊ะ ?"

            พวกมันมองหน้ากัน  ไอ้จั๊วยืนขึ้นแล้วชี้ไปที่พุงของมัน

            " หึ หึ  ไอ้ที่เอ็งได้ยินน่ะ  มันไม่ใช่เสียงนํ้าในพุงช้างหรอกไอ้พรานใหญ่เอ๊ย!  แต่มันเป็นเสียงนํ้าในพุงของข้าเองนี่แหละ   ก้อตั้งแต่เช้าจนเข้าเที่ยงวันเข้านี่แล้ว ข้าวยังไม่ตกถึงท้องเลยสักเม็ด  แดกกันแต่นํ้าๆ นี่แหละ นี่ถ้าไม่พะวงเรื่องตามไอ้ชัย ข้าอยากจะหัวเราะให้งอหายไปเลยเชียวว่ะ โธ่ เวรกรรมแท้ๆหนอ ไอ้พรานกระจอกเอ๊ย "

            " อ้าว งั๊นเหรอว๊ะ  โธ่! ขัานี่ก็เกร็งเสียแทบแย่ หลงคิดว่าเป็นไอ้งวงยาวหูใหญ่ซ๊ะอีก"

            ผมทำหน้าเหวอตอบเพื่อนไป  เมื่อทราบที่มาของเสียงนั้น  โธ่! ใครจะไม่ระแวงล่ะ  ก็ป่าภาคตะวันออกแห่งนี้ มันก็คือดินแดนของช้างป่าดีๆนี่เอง  แล้วพวกก็ชอบมายืนหลับนิ่งสนิทปนไปกับสีเขียวอมดำของป่าซ๊ะด้วย

            " เมื่อคืน  ไอ้พรานที่ไหนก้อไม่รู้  เสือกพาข้าเดินเกือบไปตกหลุมต่อป่าเข้าให้  เกือบซวยไปแล้วไหมล่ะข้าเนี่ย "

            ไอ้ตงได้ที ฟ้องไอ้จั๊วกับไอ้ช่วยเรื่องผมพามันไปเกือบตกหลุมต่อป่าเมื่อคืน

             " ตกเติกที่ไหนกันว๊ะ  ถ้าตกจริง...เอ็งจะมายืนเห่าข้าได้ไง  ป่านนี้เอ็งไม่โดนมันแทะเหลือแต่กระดูกอยู่ก้นหลุมแล้วเหรอว๊ะ ฮี่โธ่ เอ็งก้อพูดซ๊ะข้าเสียศักดิ์ศรีพรานใหญ่หมดเลย "

             " ใครมันตั้งให้เอ็งเป็นพรานใหญ่ว๊ะ  ข้าอยากรู้จริ๊งเชียว ถุ๊ยส์ "

             ไอ้ตงแกล้งทำตาเหลือกถาม

              "ข้าก็ตั้งของข้าเองสิว๊ะ ใครจะมาหลับตาตั้งให้ข้าล่ะ ?"

        " พอแล้วๆ อย่าเถียงกันเลย พวกเราจะโทษไอ้แป๊ะมันก็ไม่ได้  ในป่ามันมืดตื๊ดตื๋อออกอย่างนั้น จะให้มันเห็นเหมือนตอนกลางวันก็ไม่ได้  ที่สำคัญมันไม่ใช่พรานป่าสักหน่อย  ก็แค่ไร่ของมันใกล้ป่าก็เท่านั้น"

            ไอ้จั๊วแก้ต่างให้ผม  แรกๆก็ฟังรื่นหูดีอยู่หรอก  แต่ผมรู้สึกขัดใจที่มันว่าผมไม่ใช่พราน  แต่เวลานี้ตะวันก็เลยหัวไปโขแล้ว  ท้องไส้ของทุกคนก็กำลังประท้วงขอข้าวกินจนแสบท้องแล้ว  เรื่องขัดเคืองอารมณ์จำต้องตัดทิ้งไปก่อน พวกเราตัดสินใจตั้งวงหุงข้าวในทันที  

             เวลาบ่ายแก่ๆของวันนั้น  พวกเรามายืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่กลางป่า  ด่านสัตว์สี่ห้าด่านแยกเป็นทางรอบตัวของเรา  มันชวนสับสนว่าจะไปเส้นทางใดดี  ร่องรอยของเพื่อนผู้สูญหายก็มลายหายลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว  และเวลานี้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า พวกเราอยู่ ณ จุดใดบนผืนป่าแห่งนี้  

            " เอาล่ะมึง ข้าว่างานนี้ต้องมีหลงป่ากันอีกแน่แล้ว จะไปทางไหนกันว๊ะเนี่ยเฮ๊ย ทางด่านเยอะแบบนี้เลือกไม่ถูกว่ะ  "

            เสียงเพื่อนคนหนึ่งแสดงความหวั่นวิตก  ผมพยายามมองหายอดเขาสิบห้าชั้นเพื่อกำหนดทิศทาง  แต่หายังไงก็หาไม่พบ ป่ามันมืดทึบต้นไม้แต่ละต้นก็สูงใหญ่ซ๊ะจนต้องแหงนคอมอง  มีทางเดียวเท่านั้นคือ...เราต้องเดินย้อนกลับเส้นทางเดิม  และต้องเป็นการเดินที่ต้องแข่งกับเวลาด้วย  หากตะวันตกดินเสียแล้ว  พวกเรามีหวังต้องนอนกันกลางป่าเป็นแน่แท้ทีเดียวเชียว  อุปกรณ์ยังชีพก็ซุกซ่อนอยู่ที่แคมป์เก่าเสียหมดสิ้น  โดยเฉพาะเหล้าของโปรดนี่แหละ  เราเข้าป่าก็เพื่อหวังหาที่กินเหล้าเป็นหลัก  ประเภทขาดเธอฉันตายแน่   

            ตลอดเส้นทางพวกเราแทบไม่ได้คุยกันเลย  มีแต่ไอ้ช่วยที่บ่นกระปอดกระแปดว่า เมื่อไหร่จะถึงแคมป์เสียที  ก่อนคํ่าของวันนั้น  เราดั้นด้นมาจนพบ"คลองโตนด" นั่นหมายถึงว่าแคมป์ของเราก็อยู่ไม่ไกลแล้ว  ผมบอกเพื่อนๆไปอย่างนั้น   พวกเราเดินเลาะคลองตะโหนดมุ่งขึ้นทิศเหนือ  เสียงสัตว์ป่าบางชนิดแตกตื่นกับเสียงเดินยํ่าป่าของพวกเรา  ผมซึ่งเป็นผู้นำทางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นตัวอะไร  เพราะมันมืดคํ่าเต็มทีแล้ว  เพราะอย่างที่รู้ๆกัน ในป่ามืดเร็วกว่าในเมืองเป็นไหนๆ  พวกเราอาศัยแสงไฟฉายเป็นตัวนำทาง  เมื่อเพื่อนบางคนฉายไฟไปตามกิ่งไม้  ก็มักพบดวงตาของสัตว์ชนิดต่างๆ  แต่เวลานั้นเราไม่ได้ให้ความสนใจนัก  ใจของพวกเรายามนี้คือแคมป์ที่พักอันเป็นวิมานของเราเท่านั้น  เราลืมแม้กระทั่งเพื่อนผู้หายไปในป่าแห่งนี้  ขณะนี้แข้งขาของผมและอาจรวมถึงของเพื่อนผมด้วย มันอ่อนล้าจนไม่อยากจะก้าวแล้ว  สิ่งที่ผมนึกคิดอยู่ในหัวยามนี้คือ  แกงป่ากับข้าวสวยร้อนๆพร้อมเบียร์เย็นๆสักขวดนึง แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว  ผมเดินไปก็คิดฝันไป  และผมก็แน่ใจว่าไอ้พวกที่เดินตามหลังผมมา  พวกมันก็คิดไม่ต่างไปจากผมหร๊อก   

           แมลงป่าราตรีส่งเสียงร้องเพลงกล่อมไพรเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมา  นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาว่าสองทุ่มเศษแล้ว   ต้น"หลุมพอ"ยืนต้นตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว  มันเป็นที่หมายจำของผมว่า แคมป์พักของพวกเราก็อยู่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงนี่แหละ  ประสบการณ์ยามเมื่อผมอยู่ในป่ามันสอนผมว่า หากคุณไม่อยากกินข้าวลิง  ก็โปรดจดจำสัญลักษณ์ สักอย่างเอาไว้ให้แม่นยำ   ก่อนจะข้ามคลองตะโหนดเพื่อไปยังแคมป์พัก พวกเราต้องฝ่าดงต้น"สาบเสือ" ที่สูงเกือบท่วมหัว ไปเสียก่อน   ผมใช้ปลายปืนลูกซองค่อยๆแหวกใบสาบเสืออย่างเงียบกริบ "งูเขียวหางไหม้" งูพิษอันตรายและไม่หลีกคนกระทบกับแสงไฟฉาย  มักเกาะเกี่ยวกับกิ่งของต้นสาบเสือ   มีดสปาต้าในมือของผมฟันฉับจนคอของมันหลุดกระเด็น     

          พลันที่ใบของต้นสาบเสือถูกแหวกออก  ปรากฎกองไฟเล็กๆกองหนึ่ง  เปลวไฟพลิ้วไหววูบวาบตามกระแสลมป่าอยู่กลางแคมป์ของเรา  ผมรีบหดตัวกลับมาด้านหลังดงต้นสาบเสืออย่างเงียบกริบ  เพื่อนที่อยู่ด้านหลังพากันแปลกใจในอากัปกิริยาของผม  

           " อะไรว๊ะ! เอ็งทำไมไม่เดินไปต่อล่ะ?"

           ไอ้จั๊วถามผม แลัวพยายามจะก้าวเดินไปดูให้หายข้องใจ  จนผมต้องดึงคอเสื้อของมันไว้ 

            " เอ็งเงียบไว้  แล้วแหกตาดูนั่นให้ดี"

          ไอ้จั๊วค่อยๆโผล่หัวจ้องมองไปที่กองไฟกลางแคมป์  สักพักหนึ่งมันจึงหันมากระซิบกับผมว่า มันไม่เห็นใครหรืออะไรนอกจากกองไฟเท่านั้น

           ผมเขกหัวมันดังโป๊กจนไอ้นั่นครางอู้  ผมกระซิบกับทุกคน

            " แล้วใครเป็นคนก่อไฟว๊ะ ? "

           ไอ้พวกนั้นทำตาโตตาเหลือกสีหน้าแสดงความกังขาอยู่เต็มที  ไอ้ช่วยกับไอ้ตงแหวกทางไปชะเง้อดูเพื่อให้หายสงสัย  ไม่ว่าจะในเมืองอันศิวิไลซ์ หรือในป่าทึบกันดารเช่นนี้  สัตว์มนุษย์เป็นสัตว์ที่น่ากลัวและไว้ใจยากที่สุด  แต่ฉับพลันนั้น...ไอ้จั๊วก็ดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะ  ผมมองเห็นตาตี่ๆปากบางๆของมันแสยะยิ้มเหมือนผู้มีชัยในสนามรบอันยิ่งใหญ่ 

           " มีใครพกหนังสะติ๊กมาบ้างว๊ะ "

           ไอ้ตงทำคอย่นแล้วหลับตาปี๋  เมื่อได้ยินคำพูดของไอ้จั๊ว

           " ไอ้บ้า  คนเที่ยวป่าบ้านพ่องมึงพกหนังกะติ๊กด้วยหรือว๊ะ  นี่ใจคอพ่องมรึง จะชวนเพื่อนให้เดินเรียงหน้าไปให้ชาวบ้านยิงหัวกะบาลงั๊นเร๊อะว๊ะ  ไอ้ชิบหาย" 

            ไอ้ตงบริภาษไอ้จั๊วชุดใหญ่  ไอ้ช่วยจับไหล่ไอ้ตงสอบถามว่าจะเอายังไงต่อ  เพราะมันทั้งหิว ทั้งเหนื่ยล้าจนขาแข้งอ่อนหมดแล้ว  

             " ปืนสิว๊ะ! ยิงแล้วก็เจรจา  ดูทีรึ...ว่ามันเป็นใครในอาณาจักรของเรา ?"

             ไอ้ตงพูด พร้อมกำมือขวาแล้วชูแขนขึ้น  มันทำท่าเหมือนนักปลุกระดมเสียยั่งงั๊นแหละ  แต่ผมก็เห็นด้วยกับความคิดของมัน

        " เออ เข้าท่าเว๊ย  สมแล้วที่เอ็งฉลาดกว่าพวกข้า  แต่ที่เอ็งพูดมาเมื่อกี้...เอ่อ  ข้าฟังแล้วมันเหมือนบทเจรจาของงิ๊วศาลเจ้ายังไงก็ไม่รู้ว่ะ "  

             ผมถาม เพราะรู้สึกคุ้นหูกับคำพูดของมัน              

              "โธ่! ไอ้แป๊ะ  เอ็งนี่ก็ไม่รู้อะไรซ๊ะเลยหนอ  วาจานี้ มีน้อยคนนัก ที่จะเอ่ยมันออกมาได้"

              ผม  ไอ้จั๊ว และไอ้ช่วย ต่างมองหน้ากันแล้วทำตาปริบๆโดยมิได้นัดหมาย  ไอ้จั๊วกระซิบเบาๆว่า

              " อาการเพ้อเจ้อแบบนี้  พวกเอ็งคิดว่ามันขาดเหล้าไม๊?

        "  ข้าไม่ได้หิวเหล้า  แต่ข้าหิวข้าวเว๊ย"

              ไอ้ตงบ่นพร้อมกับเอามือลูบท้อง

             กระสุนนัดนั้นกระทบก้อนหินลูกเท่าโอ่งอาบนํ้าเสียงดังลั่นป่ายามราตรี  ยังไม่ทันสิ้นเสียงปืนที่ผมยิงไป  ก็มีเสียงหนึ่งตะโกนแทรกขึ้นมาอย่างฉับพลัน  

            " มึงจะยิงหาพ่องพวกมึงเร๊อะ  ไอ้พวกเวรตะไลเอ๊ย!"

            บริเวณแคมป์ที่ว่างเปล่า มีเพียงกองไฟเล็กๆ และเงาดำของก้อนหินและต้นไม้  ในสายตาของผม มันปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ    แต่เสียงที่ผมได้ยินนั้น  ผมจดจำได้อย่างแม่นยำ  เพราะมันเป็นเสียงที่ผมคุ้นชินมาเนิ่นนานแล้ว  ผมและเพื่อนๆวิ่งแหวกดงหญ้าสาบเสือจนมาถึงริมคลองโตนด   เจ้าชองเสียงนั้นโผล่ออกมาจากหลังต้นกระบากใหญ่  ท่าทางของเขาคงไม่สบอารมณ์กับพวกผมนัก  เราเดินข้ามคลองมุ่งหน้าไปหาเขาอย่างตื่นเต้นดีใจ

       "พวกมึงหายหัวไปไหนกันมาว๊ะ   ข้ากลับมาไม่ยักเห็นหมาสักกะตัวเลย"  

             พวกเราแสดงความดีอกดีใจที่เห็นเพื่อนกลับมา ในอาการครบสามสิบสองประการ

              " เอ็งจะเห็นพวกข้าได้ไงล่ะ  ก็ในเมื่อพวกข้ายกโขยงกันไปตามหาเอ็ง  ตั้งแต่ฟ้าเริมสางโน่นแน่ะ"

              ไอ้จั๊วกับไอ้ช่วย แย่งกันพูดจนฟังแทบไม่ได่ฟังศัพท์   ครับ...ชายผู้นี้คือนายพรชัย หรือไอ้ชัยเพื่อนของพวกเรานั่นเอง  

              " เฮ๊ย  เห็นเพื่อนมีอาการครบสามสิบสองข้าก็โล่งใจแล้วว่ะ   แต่ไอ้ที่ไม่โล่งใจก็คือ  ตอนนี้ข้าหิวจนแสบท้องแล้วล่ะ  พวกเราหุงหาข้าวกินกันก่อนดีกว่าเว๊ย  เรื่องอยากรู้เก็บกันเอาไว้ก่อนเหอะว๊ะ"

             จบเสียงพูดของไอ้จั๊ว  พวกเราก็มีอาการหิวข้าวขึ้นมาทันที     ไอ้ช่วยส่งขวดเหล้าเวียนจนครบคนจนเกลี้ยงขวด  ข้าวสวยที่หุงใหม่ๆส่งกลิ่นหอมฉุยจนนํ้าลายสอ  กับข้าวในแบบฉบับเฉพาะกิจขนิดเร่งด่วนจี๋ก็คือ ต้มมาม่าผสมปลากระป๋อง  กับข้าวประเภทนี้ ในยามปกติไม่อยู่ในสายตาของพวกเรานัก  เพราะกินกันจนเบื่อ  แต่ก็ต้องมีติดเอาไว้บ้างยามฉุกเฉินและถือเป็นอาหารเฉพาะกิจ  แต่ยามหิวจัดๆ จนหน้าจะมืดแบบนี้ มันคืออาหารที่เลิศรสกว่าอาหารตามภัตตาคารใหญ่ๆเสียอีก

            ไอ้ชัยเล่าว่า  มันตามเสียงไก่ป่าจนพบดงไผ่หนาม  ที่พวกไก่ป่าจับคอนนอนสงบนิ่ง   ขณะนั้นแสงยามใกล้คํ่าก็อ่อนแรงเหมือนไฟฉายใกล้หมดแรงถ่านแล้ว  ในแสงอันขมุกขมัว ไอ้ชัยเดินอ้อมไปที่ด้านหลังของดงไผ่ป่า ขณะจะหาตำแหน่งรอเหนี่ยวไกปืนอยู่นั้น  เสียงกิ่งตันเหียงที่อยู่ด้านหลังของมันหักดังเป๊าะ  เสียงสัตว์ตระกูลแมวชนิดหนึ่ง  ร้อง" เเควี๊ยว" อยู่ด้านบนศรีษะของมัน  ไอ้ชัยหันเงยหน้ามองอย่างตกใจ  เสือดาววัยฉกรรจ์ตัวนั้นกำลังตกมาจากกิ่งต้นเหียง  ลำตัวของมันปะทะกับกิ่งด้านล่าง ตัวมันสะท้อนกระดอนกระเด็นมุ่งสู่ไอ้ชัยพรานล่าไก่ป่า  ไอ้ชัยหงายหลังทิ้งตัวลงบนพื้นดินที่แข็งเหมือนหิน  เสียงปืนลูกซองในมือลั่นดังตูม  ยังไม่ทันสิ้นเสียงปืน  ร่างของแมวใหญ่ก็หล่นทับลงยังตัวของมัน  ทั้งคนทั้งแมวใหญ่ต่างส่งเสียงร้องด้วยความตกใจต่อกัน  แต่ด้วยปฎิกิริยาตามธรรมชาติสัญชาตญาณเอาตัวรอด  ไอ้ชัยได้เศษขนของไอ้ดาวมาหนึ่งกำมือ  ส่วนไอ้ดาวแมวใหญ่ก็ฝากรอยแผลเอาไว้เป็นที่ระลึก ที่ต้นแขนขวาของพรานไก่ป่าจนเสื้อขาดเลือดทะลัก  ทั้งคู่กลิ้งหลุนๆตามกันมาสู่เบื้องล่าง  ไอ้แมวใหญ่ปฏิกิริยารวดเร็วกว่า  มันดีดตัวแล้วโกยแนบวิ่งหางจุกตูดหายลับไปกับความมืด ส่วนบรรดาไก่ป่าที่จับคอนนอนนิ่งบนกิ่งไผ่   ต่างแตกตื่นบินหนีตีปีกหายลับไปกับแสงสุดท้ายของวัน     

            " แล้วทำไมเอ็งไม่หลบใต้กิ่งไผ่ล่ะว๊ะ"

            ไอ้ช่วยซักถามอย่างข้องใจ   พรานไก่ป่าของเราผู้มีใบหน้าแดงกรํ่าเป็นมันเลื่อมด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์  ผสมเหงื่อหันหน้ามาตอบผู้ถามว่า

              " มันเร็วซ๊ะจนข้าหลบไม่ทันนะสิ"

              เพื่อนพรานไก่ป่าเล่าต่อว่า    เมื่อหายตกใจแล้ว ก็ให้รู้สึกปวดที่ต้นแขนขวาและบนหัวเป็นอย่างยิ่ง  ตอนกลิ้งลงมาจากเนินพร้อมคู่ปรับ  หัวของพรานไก่ป่าคงไปกระแทกกับก้อนหินเป็นแน่   มันนั่งมึนงงอยู่พักใหญ่เมื่อตั้งสติได้แล้วเพื่อนก็เจอกับปัญหาใหญ่  ฉากของความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่รอบกาย  การกำหนดทิศทางเป็นสิ่งยากลำบาก  การปีนขึ้นเนินที่ตนเองกลิ้งลงมาถือเป็นจุดเริ่มต้นในเวลานี้  และปืนเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการกำหนดทิศทาง  สำหรับป่าใหม่ที่มืดมิดและไม่คุ้นชินเช่นนี้

              " ข้าปีนขึ้นเนินจนแน่ใจว่านี่ต้องเป็นเนินที่ใช่แน่ๆ"

              ไอ้ชัยพรานไก่ป่าพูดพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอย่างขัดเคืองใจ  ควันบุหรี่ถูกพ่นจากรูจมูกของมันเป็นทางยาวใกล้แสงไฟฟืน

               " แล้วไงต่อว๊ะ  ใช่เนินที่เอ็งหารึเปล่า ?"

               ไอ้ช่วยถามอย่างอยากรู้เต็มที

                " ใช่อะไรล่ะ...มองไปทางไหนข้าก็เห็นแต่ป่าไผ่ดำทะมึนเหมือนกันไปหมด " 

               " อ้าว! มันจะยากอะไรว๊ะ  ไฟฉายเอ็งก็มีนี่นา"

               ไอ้ตงถามอย่างสงสัยเต็มที  ไอ้ชัยพรานไก่ป่าใช้แขนเสื้อเช็ดที่หน้าผากพร้อมตอบคำถาม

              "โธ่!  หากข้ามีไฟฉาย  พวกเอ็งก็ไม่ต้องลำบากยกโขยงออกไปตามหาข้าหร๊อกเพื่อนเอ๊ย"

             ไอ้ชัยเล่าว่า   หลังจากมะงุมมะงาหราอยู่พักใหญ่  มันจึงตัดสินใจคลำทางไต่เนินลงมายังด่านเส้นหนึ่ง  รอบกายของมันเต็มไปด้วยไม้ใหญ่ยืนต้น  มันสูงจนมองไม่เห็นท้องฟ้ายามราตรี  เสียงหรีดหริ่งลองไนเริ่มกลับมาบรรเลงบทเพลงป่าอีกครั้ง  หลังจากเงียบหายไปพักใหญ่   

             " ตอนนั้นข้ากลัวชิบเป๋งเลย  ปืน ไฟฉายก็ไม่มี  ข้าเกือบนอนบนต้นไม้แล้ว  แต่ก็คิดได้ว่า...ข้าเดินออกจากแคมป์ของเราไม่ถึงยี่สิบนาที  แคมป์มันต้องอยู่ใกล้นี้แหละ  ข้าเลยเดินไปตะโกนไปจนเสียงแห้ง"

        " เอ๊ะ! พวกข้าไม่ยักกะได้ยินเสียงของเอ็งเลย  ไม่เชื่อถามไอ้พวกนี้สิ "

              ไอ้ช่วยพูดแทรกขึ้นอย่างข้องใจเต็มที  ซึ่งก็จริงอย่างที่มันพูด เพราะพวกเราไม่ได้ยินของมันเลยสักนิด

              " โธ่! พวกเอ็งจะได้ยินได้ไงล่ะ  ป่าก็ทึบเนินเขาก็บังอยู่  แถมข้ายังเดินผิดทิศผิดทางกับแคมป์ของเราด้วย  พูดง่ายๆก็คือ ข้าเดินห่างจากแคมป์ไปตั้งหลายกิโลเชียว "

        " อ้าว! ไหงเป็นยั่งงั๊นว๊ะ"

               ไอ้จั๊วถามด้วยความฉงน

                " เอ็งลืมไปแล้วเร๊อะ  จะไม่ให้มันหลงทางได้ไงล่ะ  ไฟฉายมันก็ไม่มี ป่ามันก็มืดตื๋อออกยังงั๊น  มันเดินกลับแคมป์มาได้ มันก็ยอดคนแล้วล่ะ ข้าว่า"

               ผมช่วยตอบคำถามของไอ้จั๊วแทน  และยกย่องในความกล้าหรือบ้าของไอ้ชัยเต็มที่  คนอะไร เดินคนเดียวในป่าดงดิบยามคํ่ามืดโดยไม่มีปืน ไม่มีไฟฉายก็ได้ด้วย  หากไปเล่าให้พรานทั่วไปฟัง  พวกนั้นต้องหาว่าโกหกแน่ๆ  หรือไม่ก็ต้องหาทางมาดูตัวไอ้ชัยพรานไก่ป่าแน่นอนทีเดียวเชียวแหละ  เพื่อนพรานไก่ป่าเล่าต่ออีกว่า

               " เมื่อข้าเริมรู้ว่าข้าหลงป่าแน่นอนแล้ว  ข้าก็ปีนต้นไม้หาที่นอน รอจนกว่าฟ้าจะสางดีกว่า  ขืนเดินต่อมีหวังโชคร้ายแน่ๆ  ที่สำคัญข้าไม่รู้ว่าไอ้ตัวอะไรมันเดินตามหลังข้ามานี่สิ  โครตกลัวเลยว่ะ"

               ไอ้ชัยพูดพร้อมกับเอามือลูบแขนตัวเอง  เพราะเกิดอาการขนลุกเมื่อพูดถึงสิ่งที่เดินตามหลังมันมา   พวกเรามองหน้ากัน แล้วหันไปถามไอ้ชัยโดยพร้อมกัน

                 " ตัวอะไรของเอ็งว๊ะ ?"

          " ข้าก็ไม่รู้  เพราะเมื่อข้าหันกลับมามอง  ข้าก็ไม่เห็นอะไรเลย ป่ามันมืด  แต่กลิ่นสาบแรงชิบเป๋งเลย ข้าเลยตัดสินใจหาต้นไม้นอนดีกว่า  แต่จะนอนก็นอนไม่ได้ว่ะ  ข้ากลัวตกลงมาคอหักตายเสียก่อน  ข้าก็เลยเป็นเทพารักษ์ยืนเกาะต้นไม้จนถึงเช้านั่นแหละ "

                 " แล้วต่อจากนั้นล่ะ "

                  ไอ้ตงถาม พร้อมกับโยนไม้ฟืนลงบนกองไฟ

                  " จากนั้นข้าก็หาคลองตะโหนดน่ะสิ   กว่าจะเจอคลองข้างี้เดินขาแทบลากเลยพวกเอ็งเอ๊ย  ข้าจับทิศเหนือได้ข้าก็เดินเลาะคลองมาถึงแคมป์เอาเมื่อบ่ายนี่แหละ  หว่างทางข้ามาเจอช้างเกือบยี่สิบตัว  ต้องแอบรอให้มันไปไกลๆซ๊ะก่อน  กว่ามันจะย้ายคณะหางเครื่องของมันออกไปได้  เล่นเอาข้าหิวข้าวจนตาลายเลยเชียว "

                " คราวนี้เห็นท่าเอ็งคงไม่อยากกินไก่ป่าไปนานล่ะสิท่า "

                ผมสัพยอกเพื่อนเบาๆ

                หมอนั่นทำหน้าเจื่อนๆ แล้วพูดว่า

                " เฮ้ยพวกเรา  นี่ก็ใกล้จะเช้าแล้ว อย่าไปนงไปนอนมันเลยว๊ะ  ได้ยินเสียงไก่ป่าร้องทิศไหน  เราก็ไปเอามาย่างกินทิศนั้นเถอะว่ะ  งานนี้ข้าขอแก้มือหน่อย  พ่อจะกินให้หายอยากหายแค้นเชียว "

              พวกเราหันมามองหน้ากัน  แล้วต่างก็หัวเราะจนลั่นป่า .

              

                                                                               




15 กรกฎาคม 2567

เรื่องสั้น ยํ่าไพร ตอน พรานกัญชา








เรื่องสั้นชุด ระทึกไพรกับไพรัช ตอน พรานกัญชา

           ฤดูฝน  หรือ "วัสสานฤดู" เป็นฤดูที่นักท่องไพรทุกคนสาปส่ง  เพราะงูหรืออสรพิษมีเกลื่อนป่า นี่ผมยังไม่นับพวกทากที่มีแทบทุกตารางนิ้วของผืนป่าใหญ่  ไอ้ครั้นจะหาเศษไม้มาทำเชื้อไฟหุงหาก็ยากเต็มที่  เนื้อไม้หรือเศษไม้เก่าในป่า  มักอมนํ้าหรือมีความชี้นสูงเพราะฝนในป่า  ผมระเห็จจากเมืองสัตหีบมาฝังกายในป่าตะวันออกเขตเมืองจันท์  ซึ่งเป็นป่ารอยต่อของสามจังหวัด  ชลบุรี จันทร์ และเมืองแปดริ้ว  ได้หลายวันแล้ว  ผมหลงคารมเพื่อนรุ่นพ่อวัยเก้าสิบเศษ  ชวนมาติดแหงกนั่งดูสายฝนที่ตกไม่หยุดมาหลายวันติดๆกันเสียยั่งงั๊นแหละ  คนปีม้าอย่างผม  ก็คล้ายคนเกิดปีลิง  ไอ้เรื่องจะให้มานั่งสงบนื่งเป็นฤษีชีไพรนั้น  หาเป็นได้ยากยิ่ง  เช้าวันนี้ผมจึงเตรียมมุ่งหน้าไปหาสหายเก่าแถบป่าวัดเขาพริก  ในเขตแดนป่าเมืองแปดริ้วโน่นแหละ  ระยะทางเกือบยี่สิบกิโล  คงใช้เวลาเดินเท้าไม่ตํ่ากว่าเจ็ดแปดชั่วโมง  อาวุธ เสื้อคลุมพลาสติกกันฝน และข้าวเหนียวหมูย่าง พร้อมสำหรับการท่องป่าในวันนี้  

         อรุณรุ่งของวันนี้ สายฝนยังโปรยปรายมาอย่างอ่อนโยน  อุณหภูมิประมาณ18°C ฝนในป่าไม่เหมือนฝนในเมือง  ฝนในป่าตกแล้วยากที่จะหยุด ผมเดินเลาะชายขอบสวนปาล์มนํ้ามัน  มาทะลุไร่ฟักทองแปลงใหญ่ของผู้ใดก็ไม่ทราบ ปรากฏร่องรอยของหมูป่าฝูงใหญ่ พากันมากัดกินผลฟักทองจนกลาดเกลื่อนเสียหายหลายแปลง มีร่องรอยตีแปลงนอนเกลือกกลิ้งบนผิวดินหลายแห่ง  นกต้อยตี้วิดหลายตัวบินโฉบไปมา ส่งเสียงร้องลั่นเมื่อพบเห็นคนแปลกหน้าอย่างผมเยื้องกาย ผมลัดเลาะเพื่อให้พ้นไร่ฟักทองลงมาทางทิศตะวันออก  เดินฝ่าป่าไร่ซากเก่าๆมาได้ชั่วโมงเศษ  เบี้องหน้าของผมเป็นกระต๊อบเก่าๆ  ควันไฟกลมกลืนไปกับสายหมอก พวยพุ่งจากหม้อหุงหาแบบใช้ไม้ฟืน ตลบซ้ายขวาตามกระแสลม  กลิ่นกัญชาลอยมาเตะจมูกผมอย่างจัง  ชายวัยสี่สิบเศษกำลังบรรจงพ่นควันอย่างเคลิบเคลิ้ม  หมาบ้านตัวผอมจนเห็นซี่โครงเห่ากรรโชกเมื่อเจอคนแปลกหน้า  ชายเจ้าชองบ้านตกใจจนละจากบ้องกัญชา นั่นหมายถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงศ์ที่พวกกำลังปีนป่ายอยู่ มลายหายวับพร้อมกันไปด้วย  เสียงก่นด่าหมาเห่าจนมันเพลาเสียงลงอย่างหงอยเหงา  เขาทำท่าทางแปลกใจเมื่อพบผม  ปืนแก๊ปรุ่นพระเจ้าเหาที่ข้างกาย พลันสถิตย์มาอยู่ในมือแทนบ้องกัญชาอย่างฉับพลัน  เขาจ้องปลายกระบอกปืน นิ้วชี้ของเขาคาอยู่ในโกร่งไกแล้ว  

         "เฮ๊ย! นี่เราเอง  จำไม่ได้หรือว๊ะ รัชไงเว๊ยเฮ๊ย "

         หมอนั่นจ้องหน้าผมแบบฉงน ฉงาย คล้ายไม่แน่ใจ  ผมโล่งอกไปที เมื่อเห็นหมอนั่นวางปืนลงพร้อมส่งยิ้มมาให้  หมอยกมือเกาหัวแกรกๆจนขี้รังแคฟุ้งกระจายเคล้าไปกับสายควันจากหม้อหุงหา  

         " โธ่! ไอ้ผมก็คิดว่าใคร  ที่แท้เฮียนี่เอง" 

         "เออ เราเองแหละ "  

         ผมยังไม่ละสายตาไปจากอาวุธปืน รุ่นท่านเจ้าคุณทวดของมัน  จากประสบการณ์เก่าๆ มันสอนผมว่า อย่าไว้ใจในพฤติกรรมบ้าๆของนักสารพัดเสพของจำพวกนี้เด็ดขาด  มันไม่เสมอไปหรอก  ว่าพวกเสพกัญชาแล้วจะอารมณ์ดีกันทุกคน  ผมเคยเเห็นคนเมากัญชา คว้าปืนมายิงหิ่งห้อยจนป่าแตกมาแล้ว  พวกเถียงจนเบ้าตาแทบทะลักว่า  ที่ยิงจนหมดแม็กซ์นั้น พวกไม่ได้ยิงหิ้งห้อย แต่พวกยิงผีป่าต่างหาก แถมถามกลับว่า พวกเราไม่เห็นกันหรือ ?  พวกว่างั๊น  จนเฮียสมพงษ์ผู้อาวุโสสุด เห็นท่าจะไม่ปลอดภัยสำหรับทีมล่องป่าคนอื่นๆ  เพราะกระสุนปืนมันไม่มีลูกกะตา  ยิ่งอยู่ในมือคนบ้ากัญชาผสมเหล้าป่าด้วยแลัว  ยิ่งน่ากลัว  เฮียแกมองหน้าผมแล้วกระพริบตาให้ผมอย่างเป็นนัย  พานท้ายปืนไรเฟิลในมือของผม กระแทกไปที่ก้านคอของหมอนั่นอย่างเหมาะเหม็ง จนเสียงดังลั่นป่า  พวกล้มทั้งยืนเหมือนถูกปิดสวิตช์ไฟฟ้า  เหล่าสมาชิกชาวล่องป่าหันมาจ้องหน้าผม  คล้ายปุจฉาว่ามันจะตายไหม? เฮียสมพงษ์รีบเข้ามายืนยันว่า ไม่ต้องห่วง   เรามารู้กันภายหลังว่า  หมอนี่เป็นไข้ป่าในระยะเริ่มต้น  หมอกินยาทัมใจแถมดูดกัญชาเข้าด้วย  เฮียสมพงษ์พี่ใหญ่บ่นให้ผมฟังว่า  

         " อั๊วไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมไอ้นี่มันจึงบ้า" 

         " ไอ้นี่...ของ เฮียสมพงษ์  ก็คือไอ้นี่ ที่ผมโผล่มาทักทายมัน  ในยามเช้าของวันนี้แหละครับ  ฮาๆๆๆ " 


 


27 กันยายน 2563

ชนเผ่าตาฟ้าแห่งอินโดนีเซีย

 

ชนเผ่าตาฟ้าแห่งอินโดนีเซีย

.

ชนเผ่า Buton คือหนึ่งในชนเผ่าที่มีอยู่หลากหลายในอินโดนีเซีย พวกเขามีถิ่นอาศัยอยู่ที่จังหวัดซูลาเวซีตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Sulawesi) บนเกาะ Buton

.

ในบรรดาชาวเกาะ Buton จะมีกลุ่มคนที่มีความโดดเด่นแตกต่างจากชาวเกาะกลุ่มอื่นๆ นั่นคือการมีตาสีฟ้าสว่างและผิวสีน้ำตาล ที่พบเจอได้ยากท่ามกลางกลุ่มคนอื่นๆ ที่อาศัยที่ในเกาะ

เครดิตข้อมูลจาก  National Geographic Thailand 


   
















20 กันยายน 2563

ความหมายของผู้นำ

 



ซามูไรผู้หนึ่งมีลูกชาย 3 คน
ต่างก็มีความเชี่ยวชาญในเชิงของซามูไร
พอถึงวาระที่ซามูไรผู้พ่อจะต้องมอบตราประจำตระกูล
ให้ลูกชายเพื่อสืบทอดต่อไปนั้น
เขาก็ใช้วิธีทดสอบความสามารถของลูกๆ ทั้ง 3 คน
ซามูไรผู้พ่อคิดวิธีได้แล้วก็เข้าไปนั่งอยู่ในห้อง แล้วหับประตูไว้
ประตูห้องแบบญี่ปุ่นเป็นแบบฉากเลื่อน
และบนประตูแบบฉากเลื่อนนี้เอง
ซามูไรผู้พ่อก็นำเอาหมอนลูกหนึ่งขึ้นไปวางไว้
แล้วแกก็เรียกให้ลูกชายเข้าไปหาทีละคน
ลูกชายคนโตถูกเรียกก่อน
เมื่อเดินไปถึงประตูเลื่อน พอขยับประตู
ก็มองเห็นหมอนอยู่ข้างบน
จึงเอื้อมมือไปหยิบ แล้วเลื่อนประตูเข้าไปหาพ่อ
ซามูไรผู้พ่อสั่งให้เอาหมอนไปไว้ที่เดิม
แล้วให้นั่งรออยู่ในห้อง
ลูกชายคนกลางถูกเรียกเป็นคนต่อไป
เมื่อเดินไปถึงประตูก็เลื่อนประตูเปิด
ทันใดนั้นหมอนก็ตกลงมา
ลูกชายคนกลางรีบรับเอาไว้ทันทีโดยแทบไม่มีเสียงเลย
แล้วจึงเดินเขาไปหาพ่อ
ซามูไรผู้พ่อ จึงสั่งให้เอาหมอนไปวางไว้ที่เดิม
แล้วให้นั่งรออยู่ในห้องเช่นกัน
ลูกชายคนเล็กถูกเรียกเป็นคนสุดท้าย
พอเดินถึงประตูก็เลื่อนเปิดทันที หมอนก็ตกลงมา
แว็บเดียวดาบซามูไรก็ปลิวออกจากฝัก
ในชั่วพริบตา หมอนถูกฟันจนนุ่นปลิวว่อน
แล้วเสียบดาบลงฝักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แทบไม่มีใครเห็นใบดาบซามูไรเลยก็ว่าได้
แล้วลูกชายคนเล็กก็เดินอย่างสง่าและสงบเข้าไปหาพ่อ
ถ้าเป็นท่าน ๆ จะมอบตำแหน่งให้ลูกคนไหน ?
ซามูไรผู้พ่อได้พูดกับลูกทั้งสามว่า
"เจ้าเล็ก เจ้าใช้ดาบได้รวดเร็วดังใจ" เจ้าใช้ใจ
"เจ้ากลาง เจ้ารู้วิธีใช้มือแทนดาบได้" เจ้าใช้มือ
"เจ้าโต เจ้ารอบคอบรู้การควรไม่ควรก่อนทำการทั้งปวงเจ้าใช้หัวหรือปัญญา
ไม่ได้ใช้ดาบเพียงอย่างเดียว
พ่อขอมอบดาบประจำตระกูลให้เจ้า จงปกครองคนในตระกูลแทนพ่อสืบต่อไป"