คลังบทความของบล็อก

21 กันยายน 2567

เรื่องสั้น พลอยแห่งความ(สิ้น)หวัง (พ.ศ. 2515 - 2517)

    เสียงปีนดังถี่ยิบสงบลงแล้ว  ร่างของหญิงชายคู่หนึ่งล้มควํ่าสิ้นใจอย่างน่าอนาถ  กลิ่นเลือดโชยคละคลุ้งคล้ายแจ้งข่าวร้าย  และขอความเป็นธรรม  กระเป๋าผ้าที่เคยใส่ก้อนพลอยที่เพิ่งขุดมาได้ว่างเปล่า  ก้อนพลอยหายไปจนสิ้นแล้ว  เบื้องบนท้องฟ้าที่แสงตะวันเริ่มโรยราจนใกล้คํ่าเต็มที อีแร้งตัวใหญ่สองสามตัวไม่ยอมกินกลับรวงรัง  พวกมันบินโฉบไปมา  คล้ายรอโอกาสบ้างอย่าง





     กระแสตื่นพลอยที่บ่อไร่ที่บ้าน หนองบอน นาวง ที่เมืองตราด ยังไม่สร่างซานัก  ข่าวใหญ่ก็แว่วเข้าหูมาอีกว่า  ว่ามีการขุดพบแหล่งพลอยทับทิมสยามเม็ดโตแหล่งใหม่  ก็กระพือลือลั่นไปทั่วทั้งภาคตะวันออก  ผู้คนทั้งเจ๊กทั้งไทยในวัยฉกรรจ์ต่างตื่นข่าวนี้กันถ้วนหน้า  ทุกๆเช้าในร้านกาแฟของเจ๊กย้งใกล้บ้านผม  ต่างสนทนากันแต่เรื่องนี้   ใช่ว่าทุกคนจะสมหวังมั่งมีเป็นเศรษฐีใหม่ของเมืองสัตหีบเสมอไป  บ้างก็เอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่นจนญาติต้องตามหาศพ   บ้างก็สมหวังได้ขุดพลอยเม็ดโตขายได้เงินหลายหอบ  แต่ดันโชคร้ายโดนปล้นโดนฆ่าเสียฉิบ  เหล่านี้คือหัวข้อสนทนาของบรรดาคอกาแฟทั้งหลาย   ระหว่างรอแป๊ะย้งบรรจงเทนํ้ากาแฟร้อนๆลงกระป๋องนมตราเรือใบ แล้วใช้เชือกป่านร้อยที่ฝากระป๋องพร้อมยื่นให้ผม  ยัง...ผมในวัยสี่ห้าขวบยังไม่รีบกลับบ้าน  เพราะยังสนใจเรื่องราวที่บรรดาคอกาแฟทั้งหลาย  พูดคุยกันแต่เรื่องพลอยที่เมืองตราด  จนแป๊ะย้งต้องร้องเตือนเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ทราบ   จนผมต้องรีบวิ่งตื๋อหน้าตั้งกลับบ้านโดยทันที

     ขณะที่ผมและน้องๆ  เอาขนมปังจิ้มกับโอวัลติลร้อนๆแล้วใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่รบนโต๊ะทำงานของพ่อ   ชายผู้หนึ่งจูงจักรยานโบราณแบบคานคู่คันใหญ่ เขากำลังเดินผ่านหน้าพวกเราไป  

     " จะรีบไปไหนล่ะนั่น   แวะกินกาแฟกันก่อนสิ "

     พ่อร้องทักชายผู้นั้น  แล้ววางกระป๋องนมตราเรือใบที่ใส่กาแฟร้อน  พร้อมกับใช้มือกวาด"ลูกคิดเลข" ไปไว้ทางมุมหนึ่งของโต๊ะทำงาน   ขณะนั้นแม่ของผมก็เรียกพวกเรา  ให้ไปประจำโต๊ะข้าวเช่นปกติ  เมื่อแม่เหลียวมาเห็นชายผู้นั้น  จึงร้องเรียกอย่างคนกันเอง

     " อ้าว  ทิดปื๊ด เอ็งจะไปไหนแต่เช้าเชียว  มา มา มา กินข้าวกันก่อน  มาช่วยกินหน่อย  มันเยอะเหลือเกิน  มา มา เร็วเข้า เร็ว ๆ "

     " ชั้นจะไปขุดพลอยที่เมืองจันท์ จ้ะเจ๊ "

       เขาตอบคำถามของแม่ผม พร้อมพิงจักรยานคู่ใจไว้ที่มุมหนึ่งของบ้าน    

       ขณะพวกเรากินมื้อเช้า  บทสนทนาของพ่อกับทิดปื๊ดก็ดำเนินไป  โดยมีแม่สอดแทรกเป็นระยะๆ   ผมฟังไปก็กินมื้อเช้าไป  อย่างสนใจในอาหารและบทสนทนานั้น   

      " เอ็งคิดให้ดีนะทิดปื๊ด  ข้าได้ข่าวจนหนาหูว่าที่นั่นมันแดนเถื่อน  มันเป็นดงนักเลงดงอันธพาลทั้งนั้น  ถ้าไม่แน่จริงอยู่ทำกินที่นั่นไม่ได้แน่  "

      เสียงพ่อเอ่ยเตือนทิดปื๊ดหรือน้าปี๊ด  ญาติห่างๆของแม่อย่างเป็นห่วง  

      " นั่นน่ะสิ  เอ็งจะไปทำไมที่นั่น  ออกเรือจับปลาหากินที่บ้านเราดีกว่า  แม้ไม่รวยแต่ก็ยังพออยู่พอกิน  ไม่เดือดร้อนอะไรนี่"

       เสียงแม่ทักท้วงอย่างเป็นห่วง  ขณะกำลังสารวนอยู่กับน้องสาวคนเล็กวัยสองขวบของผม   

        " ชั้นเริ่มเบื่อทะเลแล้วล่ะเจ๊  อยากออกไปเปิดหูเปิดตาวัดดวงอย่างคนอื่นเขาบ้าง  เผื่อบุญนำกรรมส่งให้รํ่ารวยเหมือนคนอื่นเขาบ้างน่ะ "

       น้าปื๊ดแจ้งความประสงค์ด้วยสำเนียงเหน่อระยอง  อย่างคนภาคตะวันออกทั่วไป

       " เอ้าๆ  ตามใจเอ็ง  แล้วนี่จะไปยังไงและจะไปกับใครล่ะ ทางออกไกลอย่างนี้น่ะ ? "

       พ่อหาข้อสรุป  เพราะไม่สามารถฉุดรั้งหนุ่มวัยสามสิบเศษญาติฝ่ายแม่ได้แน่แล้ว 

        " ก็ไปกับอีแก่ของชั๊นคันนี้ไงเฮีย   มีเพื่อนชั้นอีกคนกำลังคอยอยู่ที่พลาบ้านฉางโน่น  เราจะปั่นไปเมืองจันท์กัน ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ  ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ "

       น้าปี๊ดชี้ไปที่จักรยานคันใหญ่แบบสองคานคู่ใจของแก  พร้อมยิ้มน้อยๆ   พ่อทำตาโตเมื่อได้ยินว่าน้าปื๊ดจะขี่จักรยานคันนี้ไปเมืองตราด   สมัยเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น  ถนนสุขุมวิทช่วงจังหวัดระยองจนถึงอำเภอแกลง  ยังมีสภาพเป็นทางลูกรังและทางลาดยางไปพร้อมๆกัน  ตรงไหนเป็นทางลาดยางรถก็วิ่งได้ง่ายหน่อย  แต่คนขับก็ต้องระวังว่าจะขับไปตกหลุมดินลูกรังบนถนนเข้า  ผมยกตัวอย่างเช่นบริเวณตลาด"มาบตาพุด"เมื่อครั้งผมเป็นเด็กน้อยเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น  สภาพถนนสุขุวิทที่ผ่านตลาดแห่งนี้  พื้นผิวจราจรเป็นดินลูกรังสีแดงแจ๋ มากกว่าเป็นลาดยางมะตอย  หลังคาร้านรวงสมัยนั้น  จะแดงไปด้วยฝุ่นจากดินลูกรังเป็นเทือกเหมือนกันทั้งตลาด  แม่ของผมลงจากรถต้องรีบถอดผ้าคลุมหัวออก  แล้วต้องสะบัดให้ขี้ฝุ่นสีแดงจางหายไป  หากไม่มีผ้าคลุมหัวล่ะก็...มีหวังผมเป็นสีแดงแบบฝรั่งแน่นอน




     

     พลอยแดง หรือ ทับทิมสยาม  เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยคุณภาพที่โดดเด่น ทั้งสีที่แดงสดใส ประกายของน้ำก็งามภายหลังผ่านการเจียรไนแล้ว   ผู้เฒ่าวัยแปดสิบเศษกระดกเหล้าเข้าปาก  พลางใช้หลังมือเช็ดปากอย่างอารมณ์ดี แกเล่าให้ผมฟังว่า   พลอยชั้นยอดแห่งแรกๆของเมืองจันท์นั้น อยู่บริเวณ"เขาพลอยแหวน" ในเขตอำเภอท่าใหม่นี่แหละ  อันชื่อเขาพลอยแหวนนี้ เป็นชื่อเรียกกันมานานนมตั้งแต่ครั้งโบร่ำโบราณแล้ว  แสดงว่าคนสมัยก่อนมีการหาพลอยมาขายกันแล้ว  ส่วนจะนำไปขายใครนั้น ข้อนี้ผมต้องขอเว้นเอาไว้ก่อน   ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า สมัยก่อนนั้นการหาพลอยไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยสักนิด  ไม่ต้องใช้เครื่องมือหนักจักรกลใดๆ ทั้งสิ้นด้วย แถมไม่ต้องเปลืองน้ำมันอย่างในสมัยต่อๆมา  เพราะบริเวณเขาพลอยแหวนนั้น พลอยเยอะมากจริงๆ  เพียงแค่เขี่ยๆ ตามพื้นดินก็พบพลอยแล้ว พลอยที่พบจะเป็นพลอยเขียว  บุษราคัม พลอยสตาร์และไพลิน  ซึ่งคนพื้นบ้านมักเรียก "ลูกครึ่ง"  ผมนั่งฟังผู้เฒ่าแกเล่าเรื่องเก่าอย่างตั้งใจ  พลางมองขวดเหล้าแม่โขงที่ผมซื้อมาเพื่อรีดเค้นเรื่องเก่าๆต่างๆในอดีตที่ไกลโพ้น  ให้ออกจากปากของแก  ซึ่งมันก็เริ่มหร่อยหรอไปอย่างรวดเร็ว  จนผมสงสัยว่า นี่แกดื่ม หรือแกแด... กันแน่ว๊ะ  แต่ไอ้เรื่องเพียงแค่ใช้ไม้เขี่ยเบาๆ ก็เจอพลอยแล้วนั้น  ผมว่าแกขี้โม้ขี้เมามากกว่า  อะไรมันจะง่ายดายขนาดนั้น ?    ตามหลักมารยาทที่ถูกอบรมมาดี  ผมก็ต้องทนฟังให้แกพูดให้จบเรื่องเสียก่อน  แล้วจึงค่อยๆพูดแทรก  เหมือนแกจะรู้ใจผมเสียอย่างงั๊นแหละ  แกว่า...คนหาพลอยชอบฝน  โดยเฉพาะยามฝนตกหนักๆ  มีแต่คนทั่วไปหาที่หลบฝน  แต่คนหาพลอยดันวิ่งเข้าหาฝน   ดูพวกจะชอบฝนเอามากๆ   เหตุและผลมีดังนี้ครับ  ระหว่างฝนตก หรือหลังฝนชุดใหญ่หยุดแล้ว  หน้าดินจะถูกนํ้าชะไป  อีทีนี้ก้อนกรวดและก้อนพลอยก็จะโผล่ที่หน้าดินครับ   บรรดาชาวบ้าน ซึ่งชำนาญการ  จะแยกออกว่าเม็ดไหนเป็นก้อนกรวด  เม็ดไหนเป็นก้อนพลอย  พวกว่างั๊นครับ





     ทิวเขาบรรทัดสูงตระหง่านทะมึนน่าเกรงขาม  มันทอดตัวยาวจากอำเภอโป่งน้ำร้อน  อำเภอขลุง ของเมืองจันท์ ยันไปจนถึงอำเภอบ่อไร่ เมืองตราดโน่น  หากหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  ก็คือเมืองเขมรหรือประเทศกัมพูชานั่นเอง   ทิดปี๊ดและทิดนงสองสหาย  มาอาศัยบ้านเพื่อนสมัยเป็นทหารเกณฑ์ได้สองคืนแล้ว  เขาตะแบกเป็นลูกเขาเล็กๆใกล้ๆกับหมู่บ้านชาวป่า  ที่ชื่อบ้านวังกระทิง  บ้านของเพื่อนที่ทิดปื๊ดมาอาศัยนอน   ร่องรอยการขุดหาพลอยเกลื่อนกลาดทั่วบริเวณตีนเขา  ดินลูกรังสีแดงเข้มถูกขุดเป็นโพรงทั้งขนาดเล็กและใหญ่  บ้างเป็นหลุมบ่อลึกลงไปหลายเมตร  ทิดปี๊ดมองแล้วส่ายหน้าอย่างผิดหวัง  การขุดหาพลอยหรือจะเรียกให้ดูโก้ก็คือ"ทับทิมสยาม"  มีการขุดหากันอย่างเอาเป็นเอาตาย  ซึ่งนั่นก็หมายถึงเงินก้อนโตๆ   เพราะอาจเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน  เมื่อสอบถามจากเพื่อนเจ้าถิ่นว่า  ที่ไหนพอจะมีแหล่งพลอยให้ขุดบ้าง  เพื่อนเจ้าถิ่นแนะนำให้ข้ามไปฝั่งเขมรเมืองไพลินโน่นแน่ะ  หรือไม่ก็ต้องไปวัดดวงกับคนอื่นๆ ที่เขาพลอยแหวนท่าใหม่โน่นแหละ  แต่โป่งนํ้าร้อนบ้านของเพื่อนแห่งนี้  มันก็ยังพอมีแหล่งพลอยอยู่บ้าง  แต่เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องของดวงล้วนๆ  แต่ก็ดีที่ว่าคนหาพลอยมันไม่มากเหมือนที่ท่าใหม่   ปะเหมาะเคราะห์ดีบุญพาวาสนาส่งอาจเจอก้อนพลอยก้อนใหญ่ๆสวยๆก็ได้  ใครจะรู้  เพื่อนว่างั๊น  

     " แล้วเอ็งไม่คิดทิ้งสวนยาง  แล้วมาหาพลอยกับเขาบ้างรึ  นี่มันก็ถิ่นของเอ็งนี่นา ?"

    ทิดปื๊ดแกล้งถามเพื่อนเจ้าถิ่น

     " ม่ายล่ะ  ข้าไม่อยากตายคาหลุมพลอยว่ะ อีกอย่างข้ามีลูกมีเมียแล้ว  ไม่อยากให้ลูกเมียเป็นกำพร้าว่ะ "

   เสียงเพื่อนตอบคำถามอย่างเป็นนัยๆ  พลางทิ้งบุหรี่ยี่ห้อเกล็ดทองลงพื้นแล้วใช้ปลายเท้าขยี้  ทิดปื๊ดผงกหัวอย่างเข้าใจ เพราะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของการขุดหาพลอยมาเยอะ  ว่ามันหฤโหดป่าเถื่อนเพียงใด  การปล้น ฆ่า ใช้เล่ห์เพทุบาย คดโกง  เพื่อต้องการก้อนพลอยที่ผู้อื่นหามาอย่างยากลำบาก  ผู้คนร้อยพ่อพันธุ์แม่มีทั้งสันดานดีและสันดานชั่ว  ต่างก็มารวมตัวกันที่แหล่งพลอยต่างๆในเมืองจันท์   ภัยร้ายอีกอย่างหนึ่งซึ่งคนขุดพลอยต้องพบเจอคือ  หลุมและหรือโพรงดินที่ตนเองขุดหาพลอยนั้น  มีปรากฏอยู่บ่อยครั้งว่ามันเกิดถล่มลงมา  ทับคนขุดเสียจนวายชีวาหรือบ้างคนก็แทบสาหัสสากรรจ์ปางตายทีเดียว  ไข้ป่ามาลาเรียก็ชุมไม่หยอกสำหรับสมัยนั้น   ยิ่งพวกปากเปราะนี่ก็น่ากลัว  ไอ้ที่ว่าน่ากลัวนั้นก็คือ  เมื่อขุดพบเจอพลอยสวยๆแล้ว  ก็เที่ยวแหกปากประกาศให้ชาวบ้านรู้โดยทั่วกัน  แต่ครั้นนึกขึ้นได้ว่าหาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว  พวกก็เก็บข้าวของหนีไปอย่างคนหนีตายภายในคืนนั้น  สามเดือนผ่านไปญาติทางบ้านมาสืบเสาะหาข่าว  ว่าขุดพลอยประสาอะไรบ้านช่องไม่กลับ ข่าวคราวก็ไม่ยอมส่งให้ทางบ้านรู้   เมื่อญาติผู้สูญหายลับตาไป  มีแต่คนพูดตามหลังไปว่า " หาให้ตายก็ไม่เจอ  ป่านนี้ไปเป็นปุ๋ยเสียที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ "  





    หลายเดือนต่อมา...รถจี๊ปหกล้อโกโรโกโสสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมาจอดที่หน้าร้านของผม  ปรากฏชายผู้หนึ่ง  รูปร่างผอมโซเหมือนกระดูกเดินได้  เขาค่อยๆป่ายปีนลงมาจากกระบะท้ายของรถคันนั้น  คนในกระบะสองสามคนพยายามหย่อน  จักรยานแบบคานคู่คันใหญ่ลงสู่พื้น  ชายผู้นั้นก็คือทิดปื๊ดญาติของแม่ผมนั่นเอง   ลุงชิ้นผู้เป็นโชเฟอร์เดินลงจากรถมาคุยกับแม่ผม

    " ชั้นเจอไอ้ทิดปื๊ดมันแถวๆตลาดสามย่าน  เผอิญแวะไปซื้อ"ยาทัมใจ" เดินผ่านมันไปแล้ว...แต่เกิดเฉลียวใจว่าไอ้คนนี้หน้าตามันคุ้นๆ  แกล้งเรียกชื่อมันดังๆ  มันก็หันมามอง  มันเห็นชั้นมันดีใจใหญ่เลย  ดูสิ โดนไข้ป่าเล่นซ๊ะงอมพระรามเชียว " 

   ลุงชิ้นว่าแล้วแกก็รีบเดินไปขึ้นรถ  แม่รีบควักเงินเป็นสินนํ้าใจให้ แต่แกไม่รับ   ทิดปื๊ดส่งห่อผ้าใบเล็กๆเก่าๆ ดูมอมแมมสกปรก  ข้างในห่อผ้าบรรจุพลอยสีแดงๆก้อนชรุชระ เพราะยังไม่เจียรไนให้แม่  พร้อมถามหาพ่อของผม 

    " ชั้นเอามาฝากเฮีย "  

    พูดแล้วแกก็คว้าจักรยานโบราณของแก  จูงหายไปในซอยข้างร้านของผม  อย่างคนเหนื่อนหน่ายต่อชีวิต .





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น