เรื่องสั้น ยํ่าไพร ตอน โอปปาติกะในป่าลึก ( พ.ศ. 2540 --2545 )
พอเริ่มย่างเข้าต้นเดือนมีนาคม ต้นยางก็เริ่มผลัดใบเหมือนกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นยางนาหรือยางพารา และสารพัดตระกูลยางทั้งหลาย มันส่งสัณญาณเตือนว่าฤดูแล้งเริ่มมาเยือนแล้ว ใบยางสีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง เริ่มร่วงหล่นจากต้นสู่ผืนดินหยาบแล้งแห้งระอุ เสียกลองเพลจากวัด"บ้านโคก" อำเภอแก่งหางแมว แว่วมาไกลๆ เพื่อเตือนหมู่ภิกษุทั้งหลาย ว่าใกล้ถึงเวลาฉันเพลแล้ว
แสงแดดระยิบระยับร้อนผ่าว ดั่งเปลวรัศมีแห่งความร้อนในทะเลทรายอันกว้างไกลไร้จุดหมาย และไร้ซึ่งสรรพชีวิต ลมร้อนระลอกหนึ่งพัดมาโดนตัวผมจนรู้สึกได้ชัดเจน ว่ามันร้อนเหมือนเอาใบหน้าไปจอรอรับไอร้อนจากกาต้มนํ้าเดือด ๆ ผมกำลังสาระวนอยู่กับเจ้าแทร็กเตอร์คันเก่าจอมเกเร ที่มีอันมาจอดเสียอยู่กลางไร่ ผิวกายเป็นมันเยิ้มด้วยเหงื่อไครจนน่ารำคาญ แมง(แมลง)ชันโรงหลายตัวตอมกินเหงื่อของผม ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผากพร้อมโบกมือไล่เป็นพัลวัน ด้วยแรงแห่งพยายาม อีกสักพักใหญ่ไอ้จอมเกเรก็ส่งเสียงกระหึ่มลั่นไปทั่วไร่ ขณะผมขึ้นนั่งบังคับเพื่อลุยงานต่อ สายตาก็แลเห็นอาคันตุกะบนรถแมงกาไซค์คันหนึ่งมุ่งมาหา ฝุ่นขาวอมเหลืองแดงฟุ๊งกระจายตามหลังรถมาติดๆคล้ายญาติกันฉันไม่ยอมห่างเธอ ผมติดเครื่องอีแก่แทร็กเตอร์รอดูเขาว่าเป็นใคร? แค่บุหรี่หมดไปไม่ถึงครึ่งมวน ไอ้หนุ่มแมงกาไซค์ปริศนาก็มาจอดอยู่ใกล้ผม
" เฮีย พี่ถมยาให้มาแจ้งข่าวว่า งานนี้ต้องพักเอาไว้ก่อน พี่ถมยาแกต้องไปส่งเมียที่ท่าใหม่บ่ายนี้ครับ "
ไอ้หนุ่มแมงกาไซค์ผู้มาใหม่ เอ่ยปากทักทายผม พร้อมล้วงไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบยาเส้นมามวนกับใบตองแห้ง แต่ไม่สำเร็จสักที เพราะอากาศมันร้อนและแห้งมากเกินไป ใบตองสำหรับมวนยาเส้นจึงแตก ไม่สามารถหุ้มและมวนยาเส้นได้ ผมเห็นแล้วให้รู้สึกรำคาญเต็มที จึงเปิดเบาะนั่งเพื่อค้นหาหีบบุหรี่ แล้วโยนบุหรี่ยี่ห้อ"สายฝน"ลงมาให้หนึ่งซอง หมอนั่นยกมือไหว้ผมปะหลกๆ
" อุว๊ะ! ไอ้ถมยาต้องไปส่งเมียอีกแล้วรึว๊ะนี่ ? "
ผมอุทานลั่น ด้วยความขัดเคืองในอารมณ์ อันชายที่ชื่อ"ถมยา" นั้น เขาคือเพื่อนผู้ร่วมผจญภัยในป่าของผมนั่นเอง ตั้งแต่แต่งกับเมียสาวรุ่นเด็กกว่าหลายปี หมอชักไม่อยากเที่ยวป่ากับพวกผมเสียแล้ว หมอบอกกับผมว่า ตอนนี้หมอชอบเที่ยวป่าและปีนโคกที่บ้านหมอมากกว่า มันสนุกและตื่นเต้นกว่าเที่ยวป่ากับผมเป็นไหนๆ หมอว่างั๊น และไอ้ที่ให้ไอ้หนุ่มแมงกาไซค์ที่ชื่อ " เบี้ยว" มาแจ้งข่าวกับผมนั้น ผมก็รู้ทัน หมอไม่ได้ไปส่งเมียที่ท่าใหม่หร๊อก แต่ก็น่าเห็นใจหมอนั่น วาระข้าวใหม่ปลามัน แถมเมียยังสาวรุ่นแบบนี้ เป็นใครก็อยากอยู่กับเมียสาววัยกระแรกรุ่นทั้งนั้นแหละ
ไอ้หนุ่มแมงกาไซค์ส่งข่าวลับตาไปแล้วพร้อมกับฝุ่นแล่นตามตูดไปเป็นทางยาว ผมทำงานไปก็คิดไปว่า จะเปลี่ยนแผนเปลี่ยนโปรแกรมยังไง? เพราะผมมีนัดกับอดีตพรานใหญ่ปลดระวางคนหนึ่ง ในบ่ายวันนี้เสียด้วยสิ จะแจ้งข่าวเพื่อยกเลิกนัดหมายยังไงดี สมัยนั้นราคาโทรศัพท์มือถือแพงมาก ใช่ว่ามีโทรศัพท์มือถือแล้วคิดจะโทรเมื่อไหร่ก็ได้ โน่น...เราต้องเดินหาคลื่นสัณญาณโทรศัพท์กันไปบนเนินเขาสูงๆโน่นแหละ แถมสัณญาณก็มาๆหายๆมักไม่เสถียรเอาเสียด้วย ยิ่งในป่าในดงอย่างพวกผมนี้ อย่าให้พูดเลย เดินหาคลื่นกันจนท้อเชียวแหละ
ยามบ่ายแก่ๆของวัน รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้ออันบุโรทั่งของผม ก็มาจอดพรืดพร้อมขี้ฝุ่นตลบอบอวล หมาไทยชาวบ้านป่าตัวผอมแกร็นสามสี่ตัวพากันเห่าเสียงขรม สักครุ่ก็ส่งเสียงงี๊ดๆกระดิกหางเข้าหาคล้ายจะเจอเพื่อนเก่าต่างสายพันธุ์ยั่งงั๊นแหละ ชายชราวัยเจ็ดสิบเศษผิวดำคลํ้าหลังงองุ้มแต่ดูแข็งแกร่ง ตามตัวของแกเต็มไปด้วยรอยสักมากมาย แกสวมกางเกงชาวเลแบบขาสั้นมายืนเกาะขอบประตูบ้านส่งยิ้มหวานมาให้ ชายชราผู้นี้เป็นสหายต่างวัยของผม มิใช่ผมโมเมทึกทักเอาเอง แต่เป็นสัจจะวาจาที่แกจับมือผมแล้วพูดออกมาเอง ต่อหน้าขวดเหล้าและเสียงอ้อแอ้ชองแกเสียด้วยสิ ดวงของผมมันต้องกับคนแก่ครับ เพื่อนรุ่นแย้มฝาโลงบางคนที่มีนํ้าใจต่อกันกับผม ต่างก็เป็นเพื่อนของพ่อผมมาเก่าทั้งนั้นแหละ และผมก็ถือว่า" คนแก่เหล่านี้ก็คือมรดกที่พ่อผมยกให้" ครับ
" เอ้า ! เถ้าแก เข้าบ้านก่อน ไหงว่าจะมากับไอ้ถมยาไงล่ะ รับประทานโทษ ? "
เสียงผู้เฒ่าเชื้อเชิญเป็นสำเนียงคนระยองให้ผมเข้าบ้านอย่างเป็นกันเอง คำว่า"เถ้าแก่" ที่เป็นคำสรรพนามที่แกใช้กับผม จริงๆแล้วแกใช้เรียกพ่อของผมต่างหาก แต่นานไปมันคงติดปากของแก จนมาใช้กับผมจนชิน แต่ผมเรียกแกว่า"ลุง"จนชินเช่นกัน
" นั่งบนแคร่ข้างนอกนี่ดีกว่าลุง ลมพัดเย็นดี"
ผมพูดตามประสาคนขี้ร้อน อากาศเมืองไทยแมร่งโคตรร้อนเลย เพราะแทนที่ผมจะมาเกิดเมืองหนาว แต่ผมดันพุ่งหลาวมาเกิดเมืองร้อนเสียฉิบ ทุกวันนี้ผมยังเจ็บใจตัวเองไม่หายเลย ดันเลือกดินแดนผิด แหม...พูดถึงตรงนี้ทีไร ผมอยากกลับไปเกิดใหม่ชิบเป๋งเลย คุณเอ๋ย แต่ผมดันกลัวว่าจะไม่ได้มาเกิด (เป็นคน) อีกน่ะสิ ข้อนี้สำคัญนักเชียว ผมเดินไปที่รถ หยิบข้าวของต่างๆที่ซื้อมาจากตลาดเพื่อมาฝากแก มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกสำหรับคนบ้านป่าอย่างแกและผม ข้าวสาร กะปิ นํ้าป่า ยาเส้น และเหล้ายี่ห้อดัง แค่นี้ก็ใช้ชีวิตในป่ากันอย่างไม่เดือดร้อนแล้ว อะไรๆที่มากพิธีรีตองลีลาเยอะ พวกผมไม่ถนัด แถมรำคาญเสียด้วยสิ
" วันนี้ถมยาไม่มาด้วย มันติดธุระด่วนครับลุง วันนี้ผมเลยฉายเดี่ยวครับ"
ชายชราผหงกหัวหงึกๆ เป็นทีเข้าใจที่ผมสื่อสารออกไป พร้อมกับยกแก้วเหล้าบร้่นดียี่ห้อรีเจนซี่แช่นํ้าแข็งจนหมดแก้ว พร้อมเอาแขนป้ายปากส่งยิ้มไปทั่วทิศทั่วไทย
" รับประทานโทษ ชื่นใจดีจริง ๆ นานๆได้กินทีนึง เด็ดดีแท้หนอ "
แกพูดพร้อมกับยกมือไหว้ผม จนผมต้องรีบวางแก้วที่กำลังเตรียมเหล้าชุดใหม่ให้แกทันที พร้อมพนมมือรับไหว้จากคนแก่อย่างฉุกระหุก คนบ้านป่า คนโบราณสมัยก่อน หัวใจของพวกเขาบริสุทธิ์คล้ายเด็ก แต่ก็มั่นคงในสัจจะวาจายิ่งนัก มันไม่แปลกเลยที่ผมชอบคบหาสมาคมกับคนแก่ หากคบหากับคนรุ่นเดียวกันหรือคนสมัยใหม่ๆผมไม่สนิทใจนัก ผมกลัวโดนเพื่อนแอบแทงข้างหลังครับ
" เต็มที่เลยลุง แต่ผมเห็นจะร่วมวงได้ไม่นานหรอกอีเที่ยวนี้น่ะ "
ผมกระดกเหล้าเข้าปาก แล้วแจ้งจุดประสงค์อย่างเป็นนัยให้แกทราบ พร้อมมองไปเบื้องหน้าซึ่งคือเขา"ห้าพระอินทร์" ซึ่งเป็นเทือกเขาส่วนหนึ่งของเขาสิบห้าชั้นอันยิ่งใหญ่ เมื่อผู้เฒ่ารับรู้ความต้องการของผม แก้วเหล้าในมือของแกชะงักค้างโดยทันที สายตาที่ขุ่นมัวของแกประสานกับสายตาของผมเพียงครู่ แล้วก้มหยิบเเศษเนื้อหมูป่าเค็มทอดเข้าปากเคี้ยวเยิบๆ แต่หัวคิ้วของแกขมวดเข้าหากันแบบคนกำลังใช้ความคิด
" รับประทานโทษ จากตรงนี้เวลานี้ กว่าจะเดินถึงเขาห้าพระอินท์คงคํ่าพอดี ยิ่งเวลานี้ นังแม่แปรกคุมฝูงหากินอยู่แถวตีนเขามาสองสามวันแล้ว เมื่อวานนี้ ไอ้เทืองคนบ้านบ่อตามีออกไปหายิงเก้ง หนีตายออกมาแทบไม่ทันเวลานี้ก็ไม่รู้ว่าพวกมันระเห็จออกกันไปหรือยัง ? อย่าไปเสี่ยงเลยเถ้าแก่ "
นี่เป็นข่าวใหม่ของผม ก็เมื่อหลายวันก่อนมีข่าวว่า ช้างป่าฝูงใหญ่คุมฝูงโดยแม่แปรกใหญ่ ออกหากินแถบบ้านบ่อไฟไหม้ใกล้ๆกับคลองครกโน่น แถมเหมาสวนเผือกของชาวบ้านระแวกนั้น เสียหายไปเกือบสิบไร่ ไอ้ผมก็ไม่ได้รู้สึกเฉลียวใจเลยว่า พวกมันจะข้ามฟากมาถึงเขาห้าพระอินทร์ได้เร็วขนาดนี้ อีกอย่างผมก็ไม่แน่ใจว่า พวกมันจะเป็นช้างป่าโขลงเดียวกันหรือไม่ ?
" ผมตั้งใจมาแล้ว ว่าจะหาเนื้อหมูป่ารุ่นๆสักตัวกลับบ้านที่สัตหีบ ผมมาเที่ยวกับถมยาคราวที่แล้ว เห็นรอยหมูป่าเต็มไปหมด แต่เผอิญตอนนั้นผมไม่มีลูกโดดมาสักนัดเลย ชวนถมยาแล้ว ว่าจะมาแก้มือกันบ่ายนี้ อย่างงี๊...ผมก็เสียความตั้งใจแน่เลยลุง "
." รับประทานโทษ คนหนุ่มใจร้อนมักผลีผลาม แถบนี้...ใช่มีหมูป่าที่เขาห้าพระอินทร์แห่งเดียวเสียเมื่อไหร่ล่ะ โน่น คลองโป่งโน่น ข่าวว่าเดินกันเป็นเทือกเชียว แถมออกมากินไร่แตงไทยยัยซิ้มหมดไปโขอยู่ เล่นเอาซ๊ะยัยซิ้มแทบหมดตัวเชียวล่ะ "
อดีตพรานเฒ่าปลดระวาง แจ้งข้อมูลใหม่ให้ผมทราบด้วยสำเนียงเหน่อระยอง พร้อมกระดกรีเจนซี่ผสมนํ้าแข็งเย็นๆเข้าปากอย่างบรมสุข
" งั๊นก็ดีสิลุง ผมจะได้มีเวลาหาที่เหมาะๆขัดห้าง งั๊น อย่าช้าเลย เวลาวารีไม่เคยคอยใคร ผมขอรํ่าลาตรงนี้แหละครับ "
ว่าแล้วผมก็เตรียมตัวออกเดินทางทันที คงใช้เวลาเดินเท้าไม่ถึงสี่ชั่วโมง ในพิกัดจากคำบอกเล่าของอดีตพรานปลดระวาง ป่าในยุคสมัยที่ผมจริงจังกับการเที่ยวท่องนั้น ยังมีความสมบูรณ์อยู่เป็นอันมาก ไม่เหมือนในยุคปัจจุบันนี้ที่ป่าก็ค่อยๆหายไปทีละน้อยๆ แต่ดันมีต้นยาง ต้นปาล์ม เงาะ ทุเรียน และมันสำปะหลังขึ้นมาแทน เราได้ป่าเศรษฐกิจมาแทนป่าดงดิบ บางที่บางแห่งก็เป็นภูเขาหัวโล้นก็มิใช่น้อยๆ ฝนตกหนักๆทีนึง ก็เดือดร้อนกันทีนึงจนเป็นเหตุการณ์ที่ซั้าซากน่าเบื่อหน่าย คนก็เดือดร้อน สัตว์ป่าก็เดือดร้อน เพราะคนรุกป่าทำลายบ้านของสัตว์ป่า สมัยเมื่อผมเดินป่าเที่ยวป่ารอยต่อแห่งภาคตะวันออก ป่าแห่งนี้มันกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน สัตว์ป่าเดินทอดน่องหาเลี้ยงปากท้องได้สะดวก โดยไม่ต้องไปหากินกับพืชไร่ของชาวบ้าน ให้ต่างเดือดร้อนล้มตายทั้งสองฝ่าย แต่วันร้ายคืนเลว ใต้เท้าท่านก็ดันมาผ่าป่าใหญ่แห่งนี้ออกเป็นสองท่อนเฉยเลย โดยอ้างความมั่นคง ผมก็ไม่ทราบว่ามันเป็นความมั่นคงในกระเป๋าใครกันแน่ ผมกำลังหมายถึงถนนเส้น 3259 ระยะทางร่วมร้อยกิโลเมตร ถนนมหาภัยเส้นนี้ผ่านพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก สัตว์ป่าโดนรถยนต์ชนตายเป็นจำนวนมากในทุกๆปี มีข่าวแว่วเข้าหูของผมเสมอว่า "เก้ง" เป็นสัตว์ที่โดนรถยนต์ชนตายมากที่สุด นี่ยังไม่นับสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆเช่น"เต่า"ต้วมเตี้ยม ซึ่งโดนเหยียบแบนแต๊ดแต๋ติดถนน ปัญหาสำคัญอีกอย่างคือ เมื่อมีถนนผู้คนก็รุกบ้านของสัตว์ เมื่อสัตว์ทวงสิทธิ์คนก็ฆ่าสัตว์ จากนั้นสัตว์ก็ทำร้ายคน วนเวียนกันไม่รู้จบ
คลองโป่ง" เป็นป่าด้านทิศใต้ของ"เขาสิบห้าชั้น" สำหรับผมมองว่าเป็นเขตแดนเชื่อมระหว่างป่ากับเรือกสวนไร่นาของคน ผมเดินผ่านไร่ฟักทองแปลงใหญ่ ดินใหม่ป่าใหม่เหมาะสำหรับปลูกผักหญ้าที่สุด เพราะอาหารในดินสมบูรณ์มาก ปุ๋ยเคมีนี่ลืมไปได้เลย แต่ไร่ฟักทองแห่งนี้ ปรากฏร่องรอยกัดแทะอย่างทิ้งขว้างอย่างกลาดเกลื่อนของพลพรรคเหล่าหมูป่าทั้งหลาย ผมเดินตามรอยหมูป่ากลุ่มนี้เข้าเขตป่ามาเกือบสี่ร้อยเมตร ก้มดูนาฬิกาข้อมือที่ระบุเวลาว่ายังไม่สี่โมงเย็นเลย ผมยังพอมีเวลาเดินสำรวจป่าแถวนี้ได้อย่างไม่เร่งรีบนัก นกแซงแซวตัวสีดำสองตัว สงเสียง"เงี๊ยวๆ หรือ เมี๊ยวๆ" ฟังดูคล้ายแมวร้องทักทายผม นกเขาเปล้าสิบกว่าตัวตีปีกบินหนีคล้ายเหม็นสาปมนุษย์ขี้เหม็นไร้ประโยชน์ เถาบันไดลิงลำใหญ่ๆไต่เกี่ยวเกาะอยู่บนลำต้นยางนา เบื้องหน้าของผมนั้นคือซากต้นมะค่าโมงที่ล้มพาดผืนดิน เมื่อใช้เท้ายันที่ลำต้นเขย่าไปมาสักครู่ ตะขาบตัวใหญ่สีแดงแจ๋เลื้อยหนีมาทางปลายเท้า ผมโดดหนีออกห่างอย่างหวาดระแวง เมื่อแหงนดูบนต้นแดงที่เลยเหนือหัวของผมไปเพียงนิดเดียว ร่องรอยฟ้อนเล็บจนเปลือกกระจุยกระจายของหมีควายหล่นเกลื่อนพื้น รอยยังใหม่เอี่ยมสดๆร้อนๆ พลันนั้นเสียงกระรอกตัวสีขาวปนด่างร้องดัง"ก๊อกๆ" ผมรีบปลดปีนไรเฟิ้ลออกจากบ่าอย่างเตรียมพร้อม เพราะไม่แน่ใจว่ามันร้องทักผม หรือร้องทักอะไร ? แม้เพิ่งจะสี่โมงเย็น...แต่ในป่าทึบเช่นนี้ มันก็คล้ายเวลาโพล้เพล้ในฤดูหนาว เงียบ...ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบเหมือนเป่าสาก ยิ่งเดินยิ่งลึก ผมยิ่งรู้สึกบรรยากาศมันเริ่มเย็นยะเยือก เหลียวมองรอบกายเห็นป่าใกล้มืดมิด ผมรู้สึกผิดปกติ นาฬิกาบอกเวลาว่าเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ตายห่า...ผมว่าผมเดินจากไร่ฟักทองจนถึงตรงนี้ มันไม่ควรใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงเลย เพียงแค่คิดถึงตรงนี้ เส้นขนด้านหลังก็ลุกไล่มาจนถึงหนังหัว พวกมันพากันลุกซู่โดยไร้สาเหตุ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องไร้เหตุผล จำพวกผีสางนางไม้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ ความขลัง สิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง ผมถูกสอนมาเช่นนี้
ต้น"สมพง"ต้นนั้น มันโค้งงอลดเลี้ยวเลื้อยไหลอย่างผิดธรรมชาติ มันใกล้ชิดติดต้นตะแบก เหลียวมองขึ้นไปประมาณห้าหกเมตร ปรากฏห้างกลางเก่ากลางใหม่ขัดไว้คล้ายรอผม ด้านล่างคือด่านใหม่ๆที่สัตว์ป่าเหยียบยํ่าไว้เป็นทางเดินที่ยาวออกไปจนลับตาเพราะป่าบดบัง รอยเท้าของหมูป่า รอยเท้าของสัตว์กีบเช่นเก้งเดินเกลื่อน มิน่าเล่าตรงนี้จึงมีห้างยิงสัตว์ ปืนและสัมภาระถูกวางชิดติดมุมหนึ่ง ผมหยิบใบชาแห้งมาอมไว้ในปากจนชุ่ม แก้อาการอยากดื่มชา สายตาก็พรางสอดส่ายกำหนดพื้นที่ด้านล่าง เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินยามคํ่ามืดในยามพลัดจากห้าง เช่นช้างหรืออื่นๆรุกไล่ ใกล้คํ่าเต็มทีแล้ว เสียงแมลงป่ากรีดปีกส่งเสียงบรรเลงบทเพลงแห่งไพรระงม เสียงหมาป่าหอนโหยหวนแว่วมาตามลม ลมป่าโชยพัดมาทางทิศใต้ มันนำกลิ่นดอกไม้ป่าบางชนิดส่งกลิ่นหอมบางเบาโชยมาตามลม ผมหลับตาซึมซับกลิ่นหอมนั้นอยู่ระยะหนึ่ง ตัวนิ่มเดินบนด่านผ่านหน้าของผมไปอย่างเชื่องช้า เก้งหม้อเดินๆหยุดๆก่อนผ่านหน้าของผม จมูกของมันขยับไปมาคล้ายหากลิ่นแปลกปลอม เมื่อเป็นที่หายข้องใจแล้วมันก็เดินจากไป พอสามทุ่มเศษๆ แสงจันทร์ก็โผล่พ้นสันเขาสอยดาวใต้อันไกลโพ้น เวลาเว้นว่างมาเกือบสองชั่วโมงโดยไม่ปรากฏสัตว์ชนิดใดเดินผ่านหน้าห้างของผมเลยสักตัว แม้กระทั่งหมูป่าที่ผมเฝ้ารอคอย ผมสูบบุหรี่ซึ่งเป็นข้อห้ามในการนั่งห้างเพื่อบรรเทาอาการง่วงหาว ห้าทุ่มแล้ว ป่าทั้งป่าเงียบกริบคล้ายป่าช้าผีดิบ เสียงฟ้าร้องครืนๆแว่วมาจากทางทิศเหนือเบาๆ ผมขยับกายกางแขนบิดขี้เกียจคลายเมื่อยขบอย่างแผ่วเบา ข้าวเหนียวหมูย่างถึงเวลาคลายหิวของผมแล้ว กินไปสายตาก็มองป่ารอบตัวไป พร้อมกับตรวจสอบความพร้อมของปืนคู่ชีพอีกครั้ง
เสียงฟ้าร้องครืนๆแว่วดังใกล้เข้ามา ผมรีบค้นหาเสื้อคลุมพลาสติกกันฝน เพียงไม่ถึงสิบนาทีฟ้าก็รั่วเหมือนเทนํ้าลงบนผืนป่า ประกายแสงฟ้าแลบแปลบปลาบถี่ระยิบระยับจนทั่วผืนไพร เหล่าต้นไม้โยกไหวซ้ายขวาตามพลังลมฝน เสียงห้างที่ผมนั่งลั่นเอี๊ยดอ๊าดจนผมต้องใช้ไฟฉายตรวจสภาพความมั่นคงของมัน ปลายปืนไรเฟิลในมือโผล่ออกมาจากเสื้อกันฝน ในลักษณะเอียงลงตํ่ากันนํ้าเข้า หมด หมดกัน ฝนหนักอย่างนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากนอน ผมเอนตัวพิงต้นตะแบกหลับไหลโดยไม่รู้ตัว
นํ้าหยดหนึ่งหล่นโดนมือที่จับปืนของผม ผมคงเผลอหลับโดยไม่รู้ตัวจนเสียอาการนิ่ง มือจึงโผล่ออกมาพ้นชายเสื้อกันฝนจนโดนนํ้าหยดใส่ ฝนป่าหยุดไปเมื่อไหร่ไม่ทราบได้ พระจันท์ข้างขึ้นเต็มดวงส่งแสงลงสู่ผิวใบไม้ที่อาบนํ้าฝนจนเป็นประกายระยิบระยับทั่วดงพงไพร นาฬิกาที่ข้อมือระบุเวลาตีสามเศษๆ ผมล้วงมือมายิบกระปุกบรั่นดีอันเล็กมาดื่มเพื่อบรรเทาความเหน็บหนาว ฤทธิ์เหล้ามันร้อนผ่าวจนถึงท้อง มันปลุกประสาทความรู้สึกเฉื่อยชาให้ตื่นตัวขึ้นทันที ขณะผมกำลังจุดไฟแช็กเพื่อสูบบุหรี่ เสียงเดินยํ่าดินแฉะปนนํ้าแว่วมาแผ่วเบา เสียงนั้นมุ่งมายังหน้าด่านที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้ ผมรีบวางไฟแช็คแล้วเอียงหูจับตาเพ่งมองสัณญาณเจ้าของเสียงนั้น บนด่านเล็กๆด้านขวามือที่ห่างจากผมไปไม่เกินห้าสิบเมตร ใบไม้ที่เปียกชุ่มด้วยหยาดนํ้าฝนงดงามยิ่งเมื่อโดนกระทบแสงจันทร์ มันส่ายไปมาจนหยดนํ้ากระเซ็นคลายโดนวัตถุชนิดหนึ่งกระทบเบาๆ ผมจ้องมองอย่างสงสัยเต็มทีโดยไม่กระพริบตา หมูป่าตัวนั้นเดินส่ายไปมาโดยมุ่งหน้ามาตามเส้นทางด่าน ท่ามกลางแสงจันทร์ ในคืนข้างแรม ที่เล็ดลอดต้นและใบไม้ป่า สิ่งที่ผมเห็นในขณะนี้มันจะกลายเป็นคำถาม และข้อสงสัยของผมไปตลอดชีวิต หมอกควันบางอย่างหมุนวนไปมาคล้ายรูปร่างของคน มันอยู่ด้านหลังของหมูป่าตัวนั้นเพียงไม่เกินหนึ่งเมตร อากัปกิริยาของมันคลายติดตามหมูป่าตัวนั้นมาติดๆ ขณะนั้นผมเหมือนโดนสะกดอยู่ที่กลุ่มหมอกควันประหลาดนั่น โดยไม่ได้สนใจหมูป่าตัวนั้นเลย ยิ่งเจ้าหมูป่านั่นมันเดินใกล้เข้า ใกล้เข้ามา หมอกควันประหลาดนั่นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ๆ ให้ตายเถอะ...ผมสาบานให้ก็ได้ว่า หมอกควันประหลาดนั่นมันคล้ายคนเป็นที่สุด ขอยืนยันว่า ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของผมสมบูรณ์พร้อมทุกประการ เส้นขนบนหัวบนแขนของผมลุกตั้งชูขันต่อสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างพิสดาร ผมนั่งนิ่งตะลึงตัวแข็งทื่อคล้ายฝันไป บัดนี้เจ้าหมูป่าและเจ้ากลุ่มหมอกควัน ได้เคลื่อนมาอยู่ตรงหน้าห้างของผมแล้ว ในม่านตาที่แข็งค้างของผม หมอกควันประหลาดกลายกลับเป็นชายวัยกลางคน กางเกงชาวเลสั้นๆขาดๆ เก่าๆ เสื้อแขนสั้นสีดำๆมอๆไม่ติดกระดุม รอยสักเต็มผืนอกและผิวกายอันดำคลํ้า ในปากของเขาเคี้ยวหมากจนปากแดงชัดเจน เขาเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตาอันแข็งกร้าวเย็นชา เขาตบมือขึ้นสามครั้ง ในขณะผมตะลึงจ้องมองเขาอยู่นั้น ฉับพลัน ผมก็สะดุ้งขึ้นสุดตัว บุหรี่ที่คาอยู่ในปากหล่นมาโดนแขนจนผมตกใจ ความร้อนจากไฟปลายบุหรี่ปลุกเตือนให้สติของผมกลับคืนมา ปีนไรเฟิลในมือตวัดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยผมแทบไม่รู้ตัว เสียงปังลั่นป่ายามดึกสงัดสงบมืดมิด หมูป่าทั้งตัวล้มครืนนิ่งสนิทในทันที ขณะสมาธิของผมจดจ่ออยู่ที่หมูป่าเพียงไม่กี่วินาที เมื่อเหลียวมองหาชายหรือหมอกควันประหลาดนั้นก็หาไม่พบแล้ว มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อขนหัวลุกชูชัน นี่ผมเจอดีเข้าให้แล้วหรือ ? ผมถามตัวเองในใจ .
26 - 08 - 2024
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น