คลังบทความของบล็อก

14 สิงหาคม 2567

เรื่องสั้น ยํ่าไพร ตอน เพื่อนหาย ( พ.ศ. 2533-2534 )

 

                                                            



           


       เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน  พวกผมเหล่านักท่องป่าหน้าใหม่  อายุของแต่ละคนไม่เกินยี่สิบห้าปี  สมัยนั้นพวกเราล้วนกำลังบ้านิยายเรื่อง"เพชรพระอุมา"กันถัวนทั่ว  ส่วนผมนั้น"บ้า"เพชรพระอุมา"ตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยนต้นแล้ว รักษาก็ไม่ยอมหาย  ส่วนเพื่อนๆของผมมันก็รับเชื้อนี้จากผมไปอีกต่อหนึ่งครับ 

       ย่างเข้าฤดูร้อนในปีนั้น  พวกเราคนชอบเที่ยวป่า ต่างดีอกดีใจที่มีโอกาสมามั่วสุม เอ๊ย! มารวมตัวกันอีกครั้ง  ป่าภาคตะวันออกมันกว้างใหญ่ไพศาลนักในสายตาของพวกเรา  เอาแค่เขาสิบห้าชั้นเขตอำเภอแก่งหางแมวใกล้ๆไร่ของผม  แค่นี้ก็เที่ยวกันเกินสนุกแล้ว  ไม่ต้องไปถึงเขาสอยดาวและป่าเขาอ่างฤาไนเขตเมืองแปดริ้วหรือป่าที่อยู่ติดกันเลยสักนิด  สมัยที่พวกผมเที่ยวกัน  ป่าบางแห่งยังไม่ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเสียด้วยซํ้า  เช่นป่าเขาสิบห้าชั้นที่ผมกล่าวถึงนี่แหละ  เราเที่ยวกันโดยไม่ต้องอาศัยพรานเจ้าถิ่นนำทาง  เพราะพวกเราเที่ยวกันแบบไปเรื่อยเปื่อยเมื่อยก็พัก  แต่เน้นหนักหาที่กินเหล้า  เราเที่ยวป่ากันในลัษณะนี้อยู่หลายครั้ง  จนวันหนึ่ง ...ในป่ารอยต่อระหว่างเขาสิบห้าชั้นกับเขาสอยดอยใต้  ไอ้ชัย หรือพรชัย เพื่อนคนหนึ่งในก๊วนของเรา  หายไปอย่างลึกลับ  เพื่อนบอกว่าอยากกินไก่ป่าเต็มทน  หลังจากนั่งฟังเสียงมันร้องอยู่นานแล้ว  ว่าแล้วเพื่อนก็คว้าปืนลูกซองเบอร์สิบสองเดินหายลับไปหลังดงผักกูดสลับดงบอนป่า

       " เฮ๊ย เอาไฟฉายไปด้วยสิว๊ะ เดี๋ยวมันก็จะคํ่าแล้วนะเว๊ย"

       เสียงเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มร้องเตือนออกไป  เพราะในขณะนั้นมันก็ใกล้คํ่าอยู่มะรอมมะร่อแล้ว

       " ฮี่โธ่! แค่นี้เอง เอ็งทำนํ้าจิ้มรอไว้ได้เลย แต่ติดตัวไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน "

       เสียงและตัวของเพื่อนหายลับไปในป่า  พวกเราไม่รู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องแบบนี้นัก  เพราะเรารู้จักเพื่อนคนนี้ดี  สักพักใหญ่เสียงปืนลูกซองก็ดังก้องป่าหนึ่งนัด  ผมนั่งเอียงคอฟังอย่างตั้งใจ เผื่อจะมีอีกนัดตามมา แต่มันก็เงียบไปอย่างถนัด   เวลาผ่านไปจนบรรยากาศมืดคํ่าเต็มที  นกกาบินหายลับกลับรังจนหมดสิ้นแล้ว ค้างคาวหนูเริ่มบินโฉบเฉี่ยวให้เห็นมากตัวขึ้น  หรีดหริ่ง ลองไน เริ่มบรรเลงบทเพลงกล่อมผืนป่ายามราตรีดังอึงคะนึง  

      " เฮ๊ย ไอ้ชัยมันไปถึงไหนของมันว๊ะ ? ป่านนี้แล้ว"

      เสียงเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจ  พวกเรามองหน้ากันเป็นเชิงคำถาม ถึงความไม่ปกติในสิ่งที่เกิดขึ้น  เพื่อนคนหนึ่งฉายไฟกราดไปมายังทิศทางของไอ้ชัยที่เดินหายลับไปในป่าอันรกทึบมืดดำ 

      " เห็นจะนั่งรอกันแบบนี้ไม่ไหวแล้วล่ะว่ะ  ใครจะเอายังไงก็ว่ามา ?"

      ไอ้จั๊ว ลุกขึ้นยืน ถามเพื่อนๆทุกคนอย่างร้อนใจ  พร้อมก้มลงไปหยิบมีดเดินป่าอาวุธประจำกายของมัน

      " ไอ้ตง เอ็งไปกับข้า ไอ้ช่วยกับไอ้จั๊วอยู่เฝ้าแคมป์ที่นี่แหละ ก่อไฟให้กองใหญ่กว่านี้ อย่าให้ไฟมอดล่ะ  "

       ผมหยิบมีด"สปาต้า"อันเป็นมรดกจากยุคสงครามเวียดนามมาถือไว้มั่น พร้อมกับแจ้งความประสงค์กับเพื่อนๆ  เพราะทนนั่งรอเพื่อนพรานไก่ป่าอย่างอึดอัดต่อไปไม่ไหว  ส่วนไอ้ตงก็ถือมีดเดินป่าอย่างเตรียมพร้อม  ไอ้จั๊วทำท่าจะไปด้วยให้ได้  แต่ผมอธิบายให้มันฟังว่า  สำหรับป่านี้ผมมีประสบการณ์มากกว่าเพื่อนทุกคน  นั่นแหละมันจึงจำใจยอมรับ  

        ป่าเขาสิบห้าชั้นสมัยผมเที่ยวกันนั้น  เป็นป่าฝนป่าทึบทะมึนแทบทั้งผืน  ไข้มาลาเรียค่อนข้างแรง  แต่คนรุ่นผมยังไม่เคยได้ยินประเภทป่วยตอนเช้าแล้วตายของสายๆอีกวัน  แต่ป่าสมัยคนรุ่นพ่อรุ่นลุงของผม ไอ้เรี่องจับไข้จนเพ้อจนสั่นตอนเช้ามืด แต่พอตกคํ่าก็ตายนั้น  ผมได้ยินมาบ่อยจนคุ้นหู  ถึงสมัยที่ผมเที่ยวกันยามนี้ก็เหอะ  ไอ้ตรงไหนมีลักษณะมีเถาวัลย์ปกคลุมไม้อื่นจนทึมทึบ  พวกเราจะไม่เดินเฉียดผ่านเป็นอันขาด  เพราะเราไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นหมู่บ้านหรืออาณาจักรของยุง"ก้นป่อง"หรือไม่ ? นํ้าในป่าที่เราใช้ดื่มกินนั้น  พวกเราต้องต้มให้สุกก่อน  เรากลัวเชื้อไข้มาลาเรียเป็นที่สุด  ผมเคยเห็นอาการป่วยเพราะไข้ป่ามาลาเรียของพรานป่าคนหนึ่ง  แกนอนจับไข้สั่นอย่างทรมาน  แต่อีกเพียงไม่ถีงชั่วโมงแกก็หายจากอาการสั่น  อีกสักพักใหญ่ๆต่อมาแกก็สั่นคล้ายคนหนาวอีก  สลับไปมาอย่างนี้  พอตกใกล้คํ่าแสงสุริยายังไม่ลับตาดี  มาดูอีกทีแกก็นอนตายลืมตาโพรงเสียอย่างงั๊นแหละ  สรุปตั้งแต่เริ่มป่วยจนตาย  ไข้ป่าชนิดนี้ใช้เวลาฆ่าคนไม่เกินสี่สิบชั่วโมง

         ผมกับไอ้ตงเร่งรุดตามหาเพื่อนอย่างร้อนใจ  มีเพียงอาวุธมีดเท่านั้นที่เป็นเขี้ยวเล็บของเรา  เพราะทั้งก๊วนเที่ยวป่าของเรามีเพียงปืนลูกซองกระบอกเดียวเท่านั้น  และยามนี้มันก็อยู่ในมือของเพื่อนผู้เงียบหายอย่างเป็นปริศนาของเรา ก็อย่างที่บอกก๊วนของเราแค่มาหาความสุขในป่าเท่านั้น  ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น  การมีปืนก็แค่หาสัตว์เล็กเช่นไก่ป่า กระต่าย กินประทังชีวิตและป้องกันตัวจากภัยต่างๆเท่านั้น   

          ผมใช้มีดฟันกิ่งไม้ที่ขวางหน้าพร้อมส่งเสียง"โฮ็ะๆ"ไปตลอดทาง  เพื่อเป็นการไล่สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ที่ใหญ่กว่าเช่นหมีควาย  กับป่าที่มืดมิดเรากลัวกันเหลือเกินกับการประจันหน้ากับสัตว์เจ้าของบ้าน  ป่าเขาสิบห้าชั้นมีหมีควายเยอะที่สุด  แล้วพวกก็ออกหากินกันทั้งกลางวันและกลางคืน  เกิดประเหมาะเคราะห์ร้ายเดินไปชนกับคุณพี่แกเข้า  มีหวังหน้าแหกหมอไม่รับเย็บเป็นแน่  แต่ที่แย่ที่สุดคือคืนนี้เป็นคืนข้างแรมเดือนมืด  ทั้งป่าเหมือนถูกทาด้วยสีดำ  การมองเห็นเป็นจึงเรื่องยากลำบาก    เราอาศัยไฟฉายขนาดห้าท่อนเป็นสายตาให้  ร่อยรอยของเพื่อนผู้สูญหายยังปรากฏให้เห็น  มีรอยหักกิ่งไม้ไว้เป็นระยะ นับว่าไอ้ชัยรอบคอบพอตัว  เราสองคนโผล่มาหยุดอยู่กลางด่านเล็กๆซึ่งเป็นทางเดินของสัตว์  ผมกำลังตัดสินใจว่าจะไปซ้ายหรือขวาดีหนอ?  พยายามฉายไฟหาร่องรอยของเพื่อน  ด้านขวามือของผมประมาณสามสิบเมตร  ปรากฏดงไผ่ป่าหมู่ใหญ่  บนพื้นดินใต้กอไผ่มีบางอย่างสะท้อนแสงไฟฉายวิบวับอยู่ไปมา  ผมรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล  ผมและเพื่อนเร่งก้าวเท้าไปอย่างรวดเร็ว

     "  ปืนของไอ้ชัย"

     ไอ้ตง หรือบุญตง เอ่ยออกมาอย่างหวาดหวั่นใจ  เบื้องหน้าของเราคืออาวุธปืนลูกซองของเพื่อนผู้สาบสูญ  และสิ่งที่สะท้อนแสงไฟฉายของผมคือ แผ่นโลหะที่ติดอยู่กับตัวปืน  

      " ปืนอยู่นี่  แล้วเจ้าของปืนอยู่ที่ไหน ?"

      ผมกระซิบบอกกับเพื่อนแล้วส่งสายตา เหมือนกำลังขอความเห็นจากเขา  ไอ้ตงสอดส่ายสายตาไปมาตามแสงไฟฉาย  กิ่งไผ่ทุกกิ่งไม่ปรากฏไก่ป่าสักตัว  จะว่าพวกมันตกใจเสียงปืน...ก็มีความเป็นไปได้  เราเดินสำรวจมาจนถึงเศษกิ่งไผ่แห้งๆหลายกิ่ง บนพื้นดินแห้งมีเศษใบไผ่กระจุยกระจาย พร้อมปรากฏเศษขนของสัตว์ชนิดหนึ่งตกอยู่เป็นหย่อมเล็กๆ   ไอ้ตงก้มไปหยิบขึ้นมาพิจารณา

       " นี่มันขนของตัวอะไรว๊ะ ? "    

        ไอ้ตงเพ่งมองจนหัวคิ้วขมวด  พร้อมยื่นเศษขนชนิดนั้นหยิบมาให้ผมดู  ท่าทางหมอนี่ไม่สบายใจนัก  ซึ่งก็เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับผม

       " ข้าก็ไม่รู้ว่ะ  "

    ไอ้ตงเงยหน้ามองผมอย่างข้องใจ  

     " อะไรว๊ะ! เอ็งไม่รู้จริงๆง่ะ ?"

     มันใช้สายตาคาดคั้นผม  คล้ายต้องการคำตอบอย่างร้อนใจ ผมทำท่าจุ๊ปาก...จ้องตาของมันแล้วกระซิบว่า

     " ไอ้ดาว"

     ไอ้ตงทำท่าผงะแทบล้มหงายหลังในทันที  มันทำตาโตอ้าปากพึมพำว่าเสือดาว  สมัยนั้นป่าเขาสิบห้าชั้นมีความสมบูรณ์มาก จัดว่าเป็นป่าดงดิบขนานแท้ พรานอาชีพคนหนึ่งเคยกล่าวกับผมทำนองว่า การพบเสือโคร่ง เสือดาว หรือเสือดำ ไม่ต้องอาศัยปาฏิหาริย์เลยสักนิด  กับเสือดาว หรือไอ้ดาวนั้นผมเชื่อว่าป่าแห่งนี้มีแน่นอน  และออกจะชุกชุมเสียด้วย  แต่กับไอ้ดำหรือเสือดำ รวมไปถึงไอ้ลายพาดกลอนหรือเสือโคร่งนั้น  ผมไม่เคยเชื่อว่ามี  เพราะผมไม่เคยได้ยินพรานทุกรุ่นเอ่ยถึงเลยสักครั้งในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา  ผมว่าอีตาพรานที่พูดนั้น ถ้าแกไม่บ้านํ้าลาย แกก็เมาเหล้าป่าเป็นแน่  

      " แล้วทีนี้จะเอาไงต่อว๊ะ"

     เสียงเพื่อนถามผมเพื่อขอความเห็น  นั่นน่ะสิ! จะเอายังไงต่อดี ? ผมมารู้สึกตัวตอนนี้เองว่า  ผมพาเพื่อนเข้าป่ามาลึกจนเกินไปแล้ว  ไอ้ครั้นจะถอยหลังกลับ โลกก็จะติติงเอาว่าขี้ขลาด  ป่ายิ่งลึก สัตว์ร้ายก็ยิ่งชุม  ไข้ป่าก็ยิ่งแรง  ประเภทเป็นไข้ป่าตอนเช้า  แต่ตอนเย็นของอีกวัน พวกก็นอนตัวแข็งทื่อแล้ว  แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ"คน" ด้วยกันนี่แหละ  คนพาลสันดานหยาบ ไม่ว่าในป่าหรือในเมือง   เลี่ยงได้หลบได้ก็จงกระทำโดยพลันเถิด   อีกเรื่องหนึ่งคือ ในยามปกติแล้ว  ไม่เคยมีพรานป่าคนไหนกล้าเดินป่าในยามคํ่าคืนเป็นเด็ดขาด  แต่คนอย่างพวกผมแม้ไม่ใช่คนกล้า แต่ความบ้าพวกผมมีนับไม่ถ้วน   เราสองคนตะโกนเรียกเพื่อนจนเริ่มเจ็บคอ  แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบสนิท  ผมรู้สึกอึดอัดขัดใจ จึงยิงปืนขึ้นฟ้าเสียงลั่นจนไอ้ตงสะดุ้งแล้วด่าผม โทษฐานที่ยิงปืนแล้วไม่บอกมัน

        " แล้วจะเอายังไงกันต่อว๊ะนี่ ?"

       ไอ้ตงหันมาปรึกษาผมอย่างกังวลใจ  ผมเหลียวมองฝ่าความมืดไปรอบๆตัว  ไฟฉายห้าท่อนในมือส่ายไปมาโดยรอบทิศทาง  ผมขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิดกังวล คล้ายตัดสินใจไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น  

       " ก็ตามต่อสิว๊ะ  แต่เอ็งหมั่นมองด้านบนเอาไว้บ้างก็แล้วกัน เผื่อไอ้ดาวไอ้ดำมันโจนใส่น่ะ"

        ผมตัดสินใจเด็ดขาด  ในการติดตามเพื่อนผู้สูญหายอย่างลึกลับ

     " เฮ๊ย! ข้าถามเอ็งจริงๆเหอะว๊ะ  พวกเราเที่ยวป่านี้กันมาหลายครั้ง  ทำไมเพิ่งมาเจอเสือกันอีตอนนี้ว๊ะ"

        ไอ้ตงตั้งคำถามจนผมสะดุ้ง  ผมจึงแกล้งจุ๊ปากเป็นความหมายสื่อให้มันหุบปาก   ผมไม่อยากบอกมันว่า  เพราะความอวดดีของผม  ในการพาเพื่อนๆเช้ามายังป่าที่ลึกเกินไป  มันเป็นป่าที่ผมก็ไม่เคยเที่ยวท่องมาก่อน  ขืนบอกไปก็เกรงว่ามันจะกังวลใจมากกว่าเดิม การหายไปของพรชัยหรือไอ้ชัย สร้างความปั่นป่วนและวิตกในก๊วนคนเที่ยวป่าของพวกเราอย่างยิ่ง  ต่างก็โทษกันเองว่าไม่น่าปล่อยเพื่อนไปคนเดียว บ้างก็ว่า รู้งี๊ตามไปเป็นเพื่อนด้วยก็ดีแล้ว  

         " เฮ๊ย! เอ็งพูดซ๊ะข้ากลัวเลย ป่านี้เสือมันชุมนักเหรอว๊ะ  ถึงให้มองแต่ข้างบนน่ะ "

         ผมเงียบไม่ตอบในคำถามของมัน  ไฟฉายส่องหาร่องรอยของเพื่อนพรานไก่ป่า  ไปตามพื้นหญ้าและด่านสัตว์เบื้องหน้า  แต่มันก็ยากเย็นเสียเหลือเกินในการแกะรอย  สำหรับพรานจำเป็นอย่างผม  ต่อให้พรานอาชีพก็เหอะ  คงไม่มีพรานคนไหนทำกัน  อย่างที่ผมสองคนกำลังทำอยู่ในขณะนี้   ความเป็นห่วงเพื่อนแท้ๆ  ทำให้เราสองคนลืมกลัวลืมกฏป่าจนสิ้น   

          ฟ้าเริ่มจะสาง กองไฟที่ก่อไว้เมื่อคืนเริ่มจะโรยรา  ควันไฟลอยล่องแผ่วเบาสู่เบื้องบนคล้ายไว้อาลัยต่อบางสิ่ง เสียงไก่ป่าโก่งคอขันต้อนรับอรุณจนรอบทิศทาง  นํ้าค้างพร่างพรมบนเหล่าใบไม้ใบหญ้า  หมอกบางๆล่องลอยอ่อนช้อยรอบตัวของพวกเรา  เสียงชะนีหวนโหยมาแต่ไกลๆ  ผมกับไอ้ตงคลำทางกลับมายังแคมป์อย่างอ่อนร้าโรยแรง เอาเมื่อตอนรุ่งสางนี่เอง  พอแสงแดดเริ่มโลมเลียผืนป่า  เราทั้งหมดก็มุ่งหน้าค้นหาเพื่อนผู้สูญหายอย่างรีบเร่ง  เราแกะรอยมาตามทางด่านเล็กๆ กลางป่าไผ่หนาม  ผมพาเพื่อนๆเดินอ้อมรังต่อหลุมขนาดย่อมๆ  ผมรู้สึกขนลุกซู่เมื่อเห็นรังของมัจจุราชมีปีกชนิดนี้  ก็เมื่อคืนผมกับไอ้ตงก็เดินบนเส้นทางนี้  แต่ผมไม่ยักเห็นรังต่อหลุมมรณะนี้  ไอ้ตงเหลือบมามองผมแล้วจุ๊ปากส่ายหน้าโดยไม่มีใครเห็น เมื่อคืนผมกับไอ้ตงหวุดหวิดกลายเป็นผีเฝ้าป่าแห่งนี้ไปแล้ว  ฉากคือความมืดแล้วผมก็สาบานได้ว่า  ผมไม่เห็นรังต่อมหาภัยนี่จริงๆ   แคล้วคลาดดีแท้หนอ  พวกเราเดินผ่าน"กำจัดต้น"ไม้ใหญ่ขนาดสองคนโอบ  ร่องรอยฟ้อนเล็บของหมีควายประทับอยู่บนเปลือกของมัน จากพื้นดินจนเลยเหนือศรีษะของพวกเราไปประมาณสองเมตรเศษ  ผมได้แต่ภาวนาว่า ทั้งมันทั้งพวกเราอย่าได้เจอะเจอกันในเวลานี้เลย  

           พวกเราเดินบนด่านเล็กๆ  พยายามสอดส่องหาร่องรอยของไอ้ชัยมาตลอดทาง  เสียงลิงวอกสองสามตัวบนกิ่งต้น"ไข่เน่า"ส่งเสียงทักทายกันขรม  พญากระรอกดำกระโดดหนีไปยืนจ้องพวกเราบนกิ่งต้น"ตะขบป่า" มันส่งเสียง"ก๊อกๆ" เตือนชาวสัตว์ป่าทั่วไป  ว่ามีอาคันตุกะแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนในถิ่นป่าของมัน   ป่าหน้าแล้งเดินง่ายกว่าป่าหน้าฝน  โดยเฉพาะบนทางด่านทางเดินของสัตว์ เราแทบไม่ต้องใช้มีดฟาดฟันต้นไม้ที่ขวางทางเดินเลย  ป่าทึบดงมืดแสงแดดแทบส่องไม่ถึงผิวดิน  เสียงนํ้าในท้องของสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งร้องลั่นแว่วมา  ผมซึ่งเป็นคนนำทางชะงักกึกอย่างฉับพลัน  จนร่างของไอ้จั๊วที่เดินตามหลังผมมา ชนผมอย่างจัง 

           " เฮ๊ย! ไอ้หอกหักเอ๊ย  จะหยุดก็ไม่เสือกบอก ปลายปืนพ่องมึงกระแทกหน้าข้าเข้าแล้วนี่ อูย"

           เสียงไอ้จั๊วบ่นขรมต่อว่าผมพร้อมร้องโอย  ส่วนไอ้พวกที่เหลือซึ่งก็เดินตามกันมาเป็นแถวเรียงหนึ่ง  ต่างทำหน้าตาตื่นเพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

          " เงียบโว๊ย เงียบก่อน ฟังเสียงนั่นสิ "

      ผมใช้นิ้วชี้ปิดปากบอกให้เพื่อนๆเงียบ  พร้อมกับย่อตัวนั่งนิ่ง  สายตาของผมส่ายไปมาเพื่อค้นหาเสียงประหลาดไอ้พวกที่อยู่ด้านหลังของผม  คงเริ่มรู้ตัวถึงความผิดปกติบางอย่างเข้าให้บ้างแล้ว  ผมค่อยๆปลดปืนออกจากไหล่แล้วกระชับมั่นเตรียมพร้อม   คอยรับสถาณการณ์ที่อาจบังเกิดขึ้นอย่างเงียบกริบ  ไอ้ช่วยซึ่งนั่งนิ่งอยู่ท้ายสุด  สายตาของมันจ้องดูพฤติกรรมของผมอย่างไม่วางตา  หัวคิ้วของมันชนกันคล้ายฉงนสงสัยเต็มที

           " ไอ้แป๊ะ เอ็งเจออะไรว๊ะ ?"

          ไอ้ช่วยส่งเสียงถามผมมาเบาๆ  ไอ้ตง ไอ้จั๊ว ก็ส่งสายตาคล้ายสอบถาม และต้องการคำตอบจากผมเช่นกัน  ผมกระซิบบอกเพื่อนๆไปว่า

           " ข้าได้ยินเสียงนํ้าในท้องช้างมันร้อง ว่ะ"

           พวกมันหันหน้ามามองกัน  แล้วหันมาจ้องหน้าผม พร้อมพูดพร้อมๆกันดังๆว่า 

            " เอ็งได้ยินเสียงนํ้าในท้องช้าง ? "

       " เออ  แล้วพวกเอ็งไม่ได้ยินกันมั่งเหรอว๊ะ ?"

            พวกมันมองหน้ากัน  ไอ้จั๊วยืนขึ้นแล้วชี้ไปที่พุงของมัน

            " หึ หึ  ไอ้ที่เอ็งได้ยินน่ะ  มันไม่ใช่เสียงนํ้าในพุงช้างหรอกไอ้พรานใหญ่เอ๊ย!  แต่มันเป็นเสียงนํ้าในพุงของข้าเองนี่แหละ   ก้อตั้งแต่เช้าจนเข้าเที่ยงวันเข้านี่แล้ว ข้าวยังไม่ตกถึงท้องเลยสักเม็ด  แดกกันแต่นํ้าๆ นี่แหละ นี่ถ้าไม่พะวงเรื่องตามไอ้ชัย ข้าอยากจะหัวเราะให้งอหายไปเลยเชียวว่ะ โธ่ เวรกรรมแท้ๆหนอ ไอ้พรานกระจอกเอ๊ย "

            " อ้าว งั๊นเหรอว๊ะ  โธ่! ขัานี่ก็เกร็งเสียแทบแย่ หลงคิดว่าเป็นไอ้งวงยาวหูใหญ่ซ๊ะอีก"

            ผมทำหน้าเหวอตอบเพื่อนไป  เมื่อทราบที่มาของเสียงนั้น  โธ่! ใครจะไม่ระแวงล่ะ  ก็ป่าภาคตะวันออกแห่งนี้ มันก็คือดินแดนของช้างป่าดีๆนี่เอง  แล้วพวกก็ชอบมายืนหลับนิ่งสนิทปนไปกับสีเขียวอมดำของป่าซ๊ะด้วย

            " เมื่อคืน  ไอ้พรานที่ไหนก้อไม่รู้  เสือกพาข้าเดินเกือบไปตกหลุมต่อป่าเข้าให้  เกือบซวยไปแล้วไหมล่ะข้าเนี่ย "

            ไอ้ตงได้ที ฟ้องไอ้จั๊วกับไอ้ช่วยเรื่องผมพามันไปเกือบตกหลุมต่อป่าเมื่อคืน

             " ตกเติกที่ไหนกันว๊ะ  ถ้าตกจริง...เอ็งจะมายืนเห่าข้าได้ไง  ป่านนี้เอ็งไม่โดนมันแทะเหลือแต่กระดูกอยู่ก้นหลุมแล้วเหรอว๊ะ ฮี่โธ่ เอ็งก้อพูดซ๊ะข้าเสียศักดิ์ศรีพรานใหญ่หมดเลย "

             " ใครมันตั้งให้เอ็งเป็นพรานใหญ่ว๊ะ  ข้าอยากรู้จริ๊งเชียว ถุ๊ยส์ "

             ไอ้ตงแกล้งทำตาเหลือกถาม

              "ข้าก็ตั้งของข้าเองสิว๊ะ ใครจะมาหลับตาตั้งให้ข้าล่ะ ?"

        " พอแล้วๆ อย่าเถียงกันเลย พวกเราจะโทษไอ้แป๊ะมันก็ไม่ได้  ในป่ามันมืดตื๊ดตื๋อออกอย่างนั้น จะให้มันเห็นเหมือนตอนกลางวันก็ไม่ได้  ที่สำคัญมันไม่ใช่พรานป่าสักหน่อย  ก็แค่ไร่ของมันใกล้ป่าก็เท่านั้น"

            ไอ้จั๊วแก้ต่างให้ผม  แรกๆก็ฟังรื่นหูดีอยู่หรอก  แต่ผมรู้สึกขัดใจที่มันว่าผมไม่ใช่พราน  แต่เวลานี้ตะวันก็เลยหัวไปโขแล้ว  ท้องไส้ของทุกคนก็กำลังประท้วงขอข้าวกินจนแสบท้องแล้ว  เรื่องขัดเคืองอารมณ์จำต้องตัดทิ้งไปก่อน พวกเราตัดสินใจตั้งวงหุงข้าวในทันที  

             เวลาบ่ายแก่ๆของวันนั้น  พวกเรามายืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่กลางป่า  ด่านสัตว์สี่ห้าด่านแยกเป็นทางรอบตัวของเรา  มันชวนสับสนว่าจะไปเส้นทางใดดี  ร่องรอยของเพื่อนผู้สูญหายก็มลายหายลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว  และเวลานี้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า พวกเราอยู่ ณ จุดใดบนผืนป่าแห่งนี้  

            " เอาล่ะมึง ข้าว่างานนี้ต้องมีหลงป่ากันอีกแน่แล้ว จะไปทางไหนกันว๊ะเนี่ยเฮ๊ย ทางด่านเยอะแบบนี้เลือกไม่ถูกว่ะ  "

            เสียงเพื่อนคนหนึ่งแสดงความหวั่นวิตก  ผมพยายามมองหายอดเขาสิบห้าชั้นเพื่อกำหนดทิศทาง  แต่หายังไงก็หาไม่พบ ป่ามันมืดทึบต้นไม้แต่ละต้นก็สูงใหญ่ซ๊ะจนต้องแหงนคอมอง  มีทางเดียวเท่านั้นคือ...เราต้องเดินย้อนกลับเส้นทางเดิม  และต้องเป็นการเดินที่ต้องแข่งกับเวลาด้วย  หากตะวันตกดินเสียแล้ว  พวกเรามีหวังต้องนอนกันกลางป่าเป็นแน่แท้ทีเดียวเชียว  อุปกรณ์ยังชีพก็ซุกซ่อนอยู่ที่แคมป์เก่าเสียหมดสิ้น  โดยเฉพาะเหล้าของโปรดนี่แหละ  เราเข้าป่าก็เพื่อหวังหาที่กินเหล้าเป็นหลัก  ประเภทขาดเธอฉันตายแน่   

            ตลอดเส้นทางพวกเราแทบไม่ได้คุยกันเลย  มีแต่ไอ้ช่วยที่บ่นกระปอดกระแปดว่า เมื่อไหร่จะถึงแคมป์เสียที  ก่อนคํ่าของวันนั้น  เราดั้นด้นมาจนพบ"คลองโตนด" นั่นหมายถึงว่าแคมป์ของเราก็อยู่ไม่ไกลแล้ว  ผมบอกเพื่อนๆไปอย่างนั้น   พวกเราเดินเลาะคลองตะโหนดมุ่งขึ้นทิศเหนือ  เสียงสัตว์ป่าบางชนิดแตกตื่นกับเสียงเดินยํ่าป่าของพวกเรา  ผมซึ่งเป็นผู้นำทางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นตัวอะไร  เพราะมันมืดคํ่าเต็มทีแล้ว  เพราะอย่างที่รู้ๆกัน ในป่ามืดเร็วกว่าในเมืองเป็นไหนๆ  พวกเราอาศัยแสงไฟฉายเป็นตัวนำทาง  เมื่อเพื่อนบางคนฉายไฟไปตามกิ่งไม้  ก็มักพบดวงตาของสัตว์ชนิดต่างๆ  แต่เวลานั้นเราไม่ได้ให้ความสนใจนัก  ใจของพวกเรายามนี้คือแคมป์ที่พักอันเป็นวิมานของเราเท่านั้น  เราลืมแม้กระทั่งเพื่อนผู้หายไปในป่าแห่งนี้  ขณะนี้แข้งขาของผมและอาจรวมถึงของเพื่อนผมด้วย มันอ่อนล้าจนไม่อยากจะก้าวแล้ว  สิ่งที่ผมนึกคิดอยู่ในหัวยามนี้คือ  แกงป่ากับข้าวสวยร้อนๆพร้อมเบียร์เย็นๆสักขวดนึง แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว  ผมเดินไปก็คิดฝันไป  และผมก็แน่ใจว่าไอ้พวกที่เดินตามหลังผมมา  พวกมันก็คิดไม่ต่างไปจากผมหร๊อก   

           แมลงป่าราตรีส่งเสียงร้องเพลงกล่อมไพรเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมา  นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาว่าสองทุ่มเศษแล้ว   ต้น"หลุมพอ"ยืนต้นตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว  มันเป็นที่หมายจำของผมว่า แคมป์พักของพวกเราก็อยู่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงนี่แหละ  ประสบการณ์ยามเมื่อผมอยู่ในป่ามันสอนผมว่า หากคุณไม่อยากกินข้าวลิง  ก็โปรดจดจำสัญลักษณ์ สักอย่างเอาไว้ให้แม่นยำ   ก่อนจะข้ามคลองตะโหนดเพื่อไปยังแคมป์พัก พวกเราต้องฝ่าดงต้น"สาบเสือ" ที่สูงเกือบท่วมหัว ไปเสียก่อน   ผมใช้ปลายปืนลูกซองค่อยๆแหวกใบสาบเสืออย่างเงียบกริบ "งูเขียวหางไหม้" งูพิษอันตรายและไม่หลีกคนกระทบกับแสงไฟฉาย  มักเกาะเกี่ยวกับกิ่งของต้นสาบเสือ   มีดสปาต้าในมือของผมฟันฉับจนคอของมันหลุดกระเด็น     

          พลันที่ใบของต้นสาบเสือถูกแหวกออก  ปรากฎกองไฟเล็กๆกองหนึ่ง  เปลวไฟพลิ้วไหววูบวาบตามกระแสลมป่าอยู่กลางแคมป์ของเรา  ผมรีบหดตัวกลับมาด้านหลังดงต้นสาบเสืออย่างเงียบกริบ  เพื่อนที่อยู่ด้านหลังพากันแปลกใจในอากัปกิริยาของผม  

           " อะไรว๊ะ! เอ็งทำไมไม่เดินไปต่อล่ะ?"

           ไอ้จั๊วถามผม แลัวพยายามจะก้าวเดินไปดูให้หายข้องใจ  จนผมต้องดึงคอเสื้อของมันไว้ 

            " เอ็งเงียบไว้  แล้วแหกตาดูนั่นให้ดี"

          ไอ้จั๊วค่อยๆโผล่หัวจ้องมองไปที่กองไฟกลางแคมป์  สักพักหนึ่งมันจึงหันมากระซิบกับผมว่า มันไม่เห็นใครหรืออะไรนอกจากกองไฟเท่านั้น

           ผมเขกหัวมันดังโป๊กจนไอ้นั่นครางอู้  ผมกระซิบกับทุกคน

            " แล้วใครเป็นคนก่อไฟว๊ะ ? "

           ไอ้พวกนั้นทำตาโตตาเหลือกสีหน้าแสดงความกังขาอยู่เต็มที  ไอ้ช่วยกับไอ้ตงแหวกทางไปชะเง้อดูเพื่อให้หายสงสัย  ไม่ว่าจะในเมืองอันศิวิไลซ์ หรือในป่าทึบกันดารเช่นนี้  สัตว์มนุษย์เป็นสัตว์ที่น่ากลัวและไว้ใจยากที่สุด  แต่ฉับพลันนั้น...ไอ้จั๊วก็ดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะ  ผมมองเห็นตาตี่ๆปากบางๆของมันแสยะยิ้มเหมือนผู้มีชัยในสนามรบอันยิ่งใหญ่ 

           " มีใครพกหนังสะติ๊กมาบ้างว๊ะ "

           ไอ้ตงทำคอย่นแล้วหลับตาปี๋  เมื่อได้ยินคำพูดของไอ้จั๊ว

           " ไอ้บ้า  คนเที่ยวป่าบ้านพ่องมึงพกหนังกะติ๊กด้วยหรือว๊ะ  นี่ใจคอพ่องมรึง จะชวนเพื่อนให้เดินเรียงหน้าไปให้ชาวบ้านยิงหัวกะบาลงั๊นเร๊อะว๊ะ  ไอ้ชิบหาย" 

            ไอ้ตงบริภาษไอ้จั๊วชุดใหญ่  ไอ้ช่วยจับไหล่ไอ้ตงสอบถามว่าจะเอายังไงต่อ  เพราะมันทั้งหิว ทั้งเหนื่ยล้าจนขาแข้งอ่อนหมดแล้ว  

             " ปืนสิว๊ะ! ยิงแล้วก็เจรจา  ดูทีรึ...ว่ามันเป็นใครในอาณาจักรของเรา ?"

             ไอ้ตงพูด พร้อมกำมือขวาแล้วชูแขนขึ้น  มันทำท่าเหมือนนักปลุกระดมเสียยั่งงั๊นแหละ  แต่ผมก็เห็นด้วยกับความคิดของมัน

        " เออ เข้าท่าเว๊ย  สมแล้วที่เอ็งฉลาดกว่าพวกข้า  แต่ที่เอ็งพูดมาเมื่อกี้...เอ่อ  ข้าฟังแล้วมันเหมือนบทเจรจาของงิ๊วศาลเจ้ายังไงก็ไม่รู้ว่ะ "  

             ผมถาม เพราะรู้สึกคุ้นหูกับคำพูดของมัน              

              "โธ่! ไอ้แป๊ะ  เอ็งนี่ก็ไม่รู้อะไรซ๊ะเลยหนอ  วาจานี้ มีน้อยคนนัก ที่จะเอ่ยมันออกมาได้"

              ผม  ไอ้จั๊ว และไอ้ช่วย ต่างมองหน้ากันแล้วทำตาปริบๆโดยมิได้นัดหมาย  ไอ้จั๊วกระซิบเบาๆว่า

              " อาการเพ้อเจ้อแบบนี้  พวกเอ็งคิดว่ามันขาดเหล้าไม๊?

        "  ข้าไม่ได้หิวเหล้า  แต่ข้าหิวข้าวเว๊ย"

              ไอ้ตงบ่นพร้อมกับเอามือลูบท้อง

             กระสุนนัดนั้นกระทบก้อนหินลูกเท่าโอ่งอาบนํ้าเสียงดังลั่นป่ายามราตรี  ยังไม่ทันสิ้นเสียงปืนที่ผมยิงไป  ก็มีเสียงหนึ่งตะโกนแทรกขึ้นมาอย่างฉับพลัน  

            " มึงจะยิงหาพ่องพวกมึงเร๊อะ  ไอ้พวกเวรตะไลเอ๊ย!"

            บริเวณแคมป์ที่ว่างเปล่า มีเพียงกองไฟเล็กๆ และเงาดำของก้อนหินและต้นไม้  ในสายตาของผม มันปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ    แต่เสียงที่ผมได้ยินนั้น  ผมจดจำได้อย่างแม่นยำ  เพราะมันเป็นเสียงที่ผมคุ้นชินมาเนิ่นนานแล้ว  ผมและเพื่อนๆวิ่งแหวกดงหญ้าสาบเสือจนมาถึงริมคลองโตนด   เจ้าชองเสียงนั้นโผล่ออกมาจากหลังต้นกระบากใหญ่  ท่าทางของเขาคงไม่สบอารมณ์กับพวกผมนัก  เราเดินข้ามคลองมุ่งหน้าไปหาเขาอย่างตื่นเต้นดีใจ

       "พวกมึงหายหัวไปไหนกันมาว๊ะ   ข้ากลับมาไม่ยักเห็นหมาสักกะตัวเลย"  

             พวกเราแสดงความดีอกดีใจที่เห็นเพื่อนกลับมา ในอาการครบสามสิบสองประการ

              " เอ็งจะเห็นพวกข้าได้ไงล่ะ  ก็ในเมื่อพวกข้ายกโขยงกันไปตามหาเอ็ง  ตั้งแต่ฟ้าเริมสางโน่นแน่ะ"

              ไอ้จั๊วกับไอ้ช่วย แย่งกันพูดจนฟังแทบไม่ได่ฟังศัพท์   ครับ...ชายผู้นี้คือนายพรชัย หรือไอ้ชัยเพื่อนของพวกเรานั่นเอง  

              " เฮ๊ย  เห็นเพื่อนมีอาการครบสามสิบสองข้าก็โล่งใจแล้วว่ะ   แต่ไอ้ที่ไม่โล่งใจก็คือ  ตอนนี้ข้าหิวจนแสบท้องแล้วล่ะ  พวกเราหุงหาข้าวกินกันก่อนดีกว่าเว๊ย  เรื่องอยากรู้เก็บกันเอาไว้ก่อนเหอะว๊ะ"

             จบเสียงพูดของไอ้จั๊ว  พวกเราก็มีอาการหิวข้าวขึ้นมาทันที     ไอ้ช่วยส่งขวดเหล้าเวียนจนครบคนจนเกลี้ยงขวด  ข้าวสวยที่หุงใหม่ๆส่งกลิ่นหอมฉุยจนนํ้าลายสอ  กับข้าวในแบบฉบับเฉพาะกิจขนิดเร่งด่วนจี๋ก็คือ ต้มมาม่าผสมปลากระป๋อง  กับข้าวประเภทนี้ ในยามปกติไม่อยู่ในสายตาของพวกเรานัก  เพราะกินกันจนเบื่อ  แต่ก็ต้องมีติดเอาไว้บ้างยามฉุกเฉินและถือเป็นอาหารเฉพาะกิจ  แต่ยามหิวจัดๆ จนหน้าจะมืดแบบนี้ มันคืออาหารที่เลิศรสกว่าอาหารตามภัตตาคารใหญ่ๆเสียอีก

            ไอ้ชัยเล่าว่า  มันตามเสียงไก่ป่าจนพบดงไผ่หนาม  ที่พวกไก่ป่าจับคอนนอนสงบนิ่ง   ขณะนั้นแสงยามใกล้คํ่าก็อ่อนแรงเหมือนไฟฉายใกล้หมดแรงถ่านแล้ว  ในแสงอันขมุกขมัว ไอ้ชัยเดินอ้อมไปที่ด้านหลังของดงไผ่ป่า ขณะจะหาตำแหน่งรอเหนี่ยวไกปืนอยู่นั้น  เสียงกิ่งตันเหียงที่อยู่ด้านหลังของมันหักดังเป๊าะ  เสียงสัตว์ตระกูลแมวชนิดหนึ่ง  ร้อง" เเควี๊ยว" อยู่ด้านบนศรีษะของมัน  ไอ้ชัยหันเงยหน้ามองอย่างตกใจ  เสือดาววัยฉกรรจ์ตัวนั้นกำลังตกมาจากกิ่งต้นเหียง  ลำตัวของมันปะทะกับกิ่งด้านล่าง ตัวมันสะท้อนกระดอนกระเด็นมุ่งสู่ไอ้ชัยพรานล่าไก่ป่า  ไอ้ชัยหงายหลังทิ้งตัวลงบนพื้นดินที่แข็งเหมือนหิน  เสียงปืนลูกซองในมือลั่นดังตูม  ยังไม่ทันสิ้นเสียงปืน  ร่างของแมวใหญ่ก็หล่นทับลงยังตัวของมัน  ทั้งคนทั้งแมวใหญ่ต่างส่งเสียงร้องด้วยความตกใจต่อกัน  แต่ด้วยปฎิกิริยาตามธรรมชาติสัญชาตญาณเอาตัวรอด  ไอ้ชัยได้เศษขนของไอ้ดาวมาหนึ่งกำมือ  ส่วนไอ้ดาวแมวใหญ่ก็ฝากรอยแผลเอาไว้เป็นที่ระลึก ที่ต้นแขนขวาของพรานไก่ป่าจนเสื้อขาดเลือดทะลัก  ทั้งคู่กลิ้งหลุนๆตามกันมาสู่เบื้องล่าง  ไอ้แมวใหญ่ปฏิกิริยารวดเร็วกว่า  มันดีดตัวแล้วโกยแนบวิ่งหางจุกตูดหายลับไปกับความมืด ส่วนบรรดาไก่ป่าที่จับคอนนอนนิ่งบนกิ่งไผ่   ต่างแตกตื่นบินหนีตีปีกหายลับไปกับแสงสุดท้ายของวัน     

            " แล้วทำไมเอ็งไม่หลบใต้กิ่งไผ่ล่ะว๊ะ"

            ไอ้ช่วยซักถามอย่างข้องใจ   พรานไก่ป่าของเราผู้มีใบหน้าแดงกรํ่าเป็นมันเลื่อมด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์  ผสมเหงื่อหันหน้ามาตอบผู้ถามว่า

              " มันเร็วซ๊ะจนข้าหลบไม่ทันนะสิ"

              เพื่อนพรานไก่ป่าเล่าต่อว่า    เมื่อหายตกใจแล้ว ก็ให้รู้สึกปวดที่ต้นแขนขวาและบนหัวเป็นอย่างยิ่ง  ตอนกลิ้งลงมาจากเนินพร้อมคู่ปรับ  หัวของพรานไก่ป่าคงไปกระแทกกับก้อนหินเป็นแน่   มันนั่งมึนงงอยู่พักใหญ่เมื่อตั้งสติได้แล้วเพื่อนก็เจอกับปัญหาใหญ่  ฉากของความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่รอบกาย  การกำหนดทิศทางเป็นสิ่งยากลำบาก  การปีนขึ้นเนินที่ตนเองกลิ้งลงมาถือเป็นจุดเริ่มต้นในเวลานี้  และปืนเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการกำหนดทิศทาง  สำหรับป่าใหม่ที่มืดมิดและไม่คุ้นชินเช่นนี้

              " ข้าปีนขึ้นเนินจนแน่ใจว่านี่ต้องเป็นเนินที่ใช่แน่ๆ"

              ไอ้ชัยพรานไก่ป่าพูดพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอย่างขัดเคืองใจ  ควันบุหรี่ถูกพ่นจากรูจมูกของมันเป็นทางยาวใกล้แสงไฟฟืน

               " แล้วไงต่อว๊ะ  ใช่เนินที่เอ็งหารึเปล่า ?"

               ไอ้ช่วยถามอย่างอยากรู้เต็มที

                " ใช่อะไรล่ะ...มองไปทางไหนข้าก็เห็นแต่ป่าไผ่ดำทะมึนเหมือนกันไปหมด " 

               " อ้าว! มันจะยากอะไรว๊ะ  ไฟฉายเอ็งก็มีนี่นา"

               ไอ้ตงถามอย่างสงสัยเต็มที  ไอ้ชัยพรานไก่ป่าใช้แขนเสื้อเช็ดที่หน้าผากพร้อมตอบคำถาม

              "โธ่!  หากข้ามีไฟฉาย  พวกเอ็งก็ไม่ต้องลำบากยกโขยงออกไปตามหาข้าหร๊อกเพื่อนเอ๊ย"

             ไอ้ชัยเล่าว่า   หลังจากมะงุมมะงาหราอยู่พักใหญ่  มันจึงตัดสินใจคลำทางไต่เนินลงมายังด่านเส้นหนึ่ง  รอบกายของมันเต็มไปด้วยไม้ใหญ่ยืนต้น  มันสูงจนมองไม่เห็นท้องฟ้ายามราตรี  เสียงหรีดหริ่งลองไนเริ่มกลับมาบรรเลงบทเพลงป่าอีกครั้ง  หลังจากเงียบหายไปพักใหญ่   

             " ตอนนั้นข้ากลัวชิบเป๋งเลย  ปืน ไฟฉายก็ไม่มี  ข้าเกือบนอนบนต้นไม้แล้ว  แต่ก็คิดได้ว่า...ข้าเดินออกจากแคมป์ของเราไม่ถึงยี่สิบนาที  แคมป์มันต้องอยู่ใกล้นี้แหละ  ข้าเลยเดินไปตะโกนไปจนเสียงแห้ง"

        " เอ๊ะ! พวกข้าไม่ยักกะได้ยินเสียงของเอ็งเลย  ไม่เชื่อถามไอ้พวกนี้สิ "

              ไอ้ช่วยพูดแทรกขึ้นอย่างข้องใจเต็มที  ซึ่งก็จริงอย่างที่มันพูด เพราะพวกเราไม่ได้ยินของมันเลยสักนิด

              " โธ่! พวกเอ็งจะได้ยินได้ไงล่ะ  ป่าก็ทึบเนินเขาก็บังอยู่  แถมข้ายังเดินผิดทิศผิดทางกับแคมป์ของเราด้วย  พูดง่ายๆก็คือ ข้าเดินห่างจากแคมป์ไปตั้งหลายกิโลเชียว "

        " อ้าว! ไหงเป็นยั่งงั๊นว๊ะ"

               ไอ้จั๊วถามด้วยความฉงน

                " เอ็งลืมไปแล้วเร๊อะ  จะไม่ให้มันหลงทางได้ไงล่ะ  ไฟฉายมันก็ไม่มี ป่ามันก็มืดตื๋อออกยังงั๊น  มันเดินกลับแคมป์มาได้ มันก็ยอดคนแล้วล่ะ ข้าว่า"

               ผมช่วยตอบคำถามของไอ้จั๊วแทน  และยกย่องในความกล้าหรือบ้าของไอ้ชัยเต็มที่  คนอะไร เดินคนเดียวในป่าดงดิบยามคํ่ามืดโดยไม่มีปืน ไม่มีไฟฉายก็ได้ด้วย  หากไปเล่าให้พรานทั่วไปฟัง  พวกนั้นต้องหาว่าโกหกแน่ๆ  หรือไม่ก็ต้องหาทางมาดูตัวไอ้ชัยพรานไก่ป่าแน่นอนทีเดียวเชียวแหละ  เพื่อนพรานไก่ป่าเล่าต่ออีกว่า

               " เมื่อข้าเริมรู้ว่าข้าหลงป่าแน่นอนแล้ว  ข้าก็ปีนต้นไม้หาที่นอน รอจนกว่าฟ้าจะสางดีกว่า  ขืนเดินต่อมีหวังโชคร้ายแน่ๆ  ที่สำคัญข้าไม่รู้ว่าไอ้ตัวอะไรมันเดินตามหลังข้ามานี่สิ  โครตกลัวเลยว่ะ"

               ไอ้ชัยพูดพร้อมกับเอามือลูบแขนตัวเอง  เพราะเกิดอาการขนลุกเมื่อพูดถึงสิ่งที่เดินตามหลังมันมา   พวกเรามองหน้ากัน แล้วหันไปถามไอ้ชัยโดยพร้อมกัน

                 " ตัวอะไรของเอ็งว๊ะ ?"

          " ข้าก็ไม่รู้  เพราะเมื่อข้าหันกลับมามอง  ข้าก็ไม่เห็นอะไรเลย ป่ามันมืด  แต่กลิ่นสาบแรงชิบเป๋งเลย ข้าเลยตัดสินใจหาต้นไม้นอนดีกว่า  แต่จะนอนก็นอนไม่ได้ว่ะ  ข้ากลัวตกลงมาคอหักตายเสียก่อน  ข้าก็เลยเป็นเทพารักษ์ยืนเกาะต้นไม้จนถึงเช้านั่นแหละ "

                 " แล้วต่อจากนั้นล่ะ "

                  ไอ้ตงถาม พร้อมกับโยนไม้ฟืนลงบนกองไฟ

                  " จากนั้นข้าก็หาคลองตะโหนดน่ะสิ   กว่าจะเจอคลองข้างี้เดินขาแทบลากเลยพวกเอ็งเอ๊ย  ข้าจับทิศเหนือได้ข้าก็เดินเลาะคลองมาถึงแคมป์เอาเมื่อบ่ายนี่แหละ  หว่างทางข้ามาเจอช้างเกือบยี่สิบตัว  ต้องแอบรอให้มันไปไกลๆซ๊ะก่อน  กว่ามันจะย้ายคณะหางเครื่องของมันออกไปได้  เล่นเอาข้าหิวข้าวจนตาลายเลยเชียว "

                " คราวนี้เห็นท่าเอ็งคงไม่อยากกินไก่ป่าไปนานล่ะสิท่า "

                ผมสัพยอกเพื่อนเบาๆ

                หมอนั่นทำหน้าเจื่อนๆ แล้วพูดว่า

                " เฮ้ยพวกเรา  นี่ก็ใกล้จะเช้าแล้ว อย่าไปนงไปนอนมันเลยว๊ะ  ได้ยินเสียงไก่ป่าร้องทิศไหน  เราก็ไปเอามาย่างกินทิศนั้นเถอะว่ะ  งานนี้ข้าขอแก้มือหน่อย  พ่อจะกินให้หายอยากหายแค้นเชียว "

              พวกเราหันมามองหน้ากัน  แล้วต่างก็หัวเราะจนลั่นป่า .

              

                                                                               




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น