เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน พวกผมเหล่านักท่องป่าหน้าใหม่ อายุของแต่ละคนไม่เกินยี่สิบห้าปี สมัยนั้นพวกเราล้วนกำลังบ้านิยายเรื่อง"เพชรพระอุมา"กันถัวนทั่ว ส่วนผมนั้น"บ้า"เพชรพระอุมา"ตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยนต้นแล้ว รักษาก็ไม่ยอมหาย ส่วนเพื่อนๆของผมมันก็รับเชื้อนี้จากผมไปอีกต่อหนึ่งครับ
ย่างเข้าฤดูร้อนในปีนั้น พวกเราคนชอบเที่ยวป่า ต่างดีอกดีใจที่มีโอกาสมามั่วสุม เอ๊ย! มารวมตัวกันอีกครั้ง ป่าภาคตะวันออกมันกว้างใหญ่ไพศาลนักในสายตาของพวกเรา เอาแค่เขาสิบห้าชั้นเขตอำเภอแก่งหางแมวใกล้ๆไร่ของผม แค่นี้ก็เที่ยวกันเกินสนุกแล้ว ไม่ต้องไปถึงเขาสอยดาวและป่าเขาอ่างฤาไนเขตเมืองแปดริ้วหรือป่าที่อยู่ติดกันเลยสักนิด สมัยที่พวกผมเที่ยวกัน ป่าบางแห่งยังไม่ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเสียด้วยซํ้า เช่นป่าเขาสิบห้าชั้นที่ผมกล่าวถึงนี่แหละ เราเที่ยวกันโดยไม่ต้องอาศัยพรานเจ้าถิ่นนำทาง เพราะพวกเราเที่ยวกันแบบไปเรื่อยเปื่อยเมื่อยก็พัก แต่เน้นหนักหาที่กินเหล้า เราเที่ยวป่ากันในลัษณะนี้อยู่หลายครั้ง จนวันหนึ่ง ...ในป่ารอยต่อระหว่างเขาสิบห้าชั้นกับเขาสอยดอยใต้ ไอ้ชัย หรือพรชัย เพื่อนคนหนึ่งในก๊วนของเรา หายไปอย่างลึกลับ เพื่อนบอกว่าอยากกินไก่ป่าเต็มทน หลังจากนั่งฟังเสียงมันร้องอยู่นานแล้ว ว่าแล้วเพื่อนก็คว้าปืนลูกซองเบอร์สิบสองเดินหายลับไปหลังดงผักกูดสลับดงบอนป่า
" เฮ๊ย เอาไฟฉายไปด้วยสิว๊ะ เดี๋ยวมันก็จะคํ่าแล้วนะเว๊ย"
เสียงเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มร้องเตือนออกไป เพราะในขณะนั้นมันก็ใกล้คํ่าอยู่มะรอมมะร่อแล้ว
" ฮี่โธ่! แค่นี้เอง เอ็งทำนํ้าจิ้มรอไว้ได้เลย แต่ติดตัวไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน "
เสียงและตัวของเพื่อนหายลับไปในป่า พวกเราไม่รู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องแบบนี้นัก เพราะเรารู้จักเพื่อนคนนี้ดี สักพักใหญ่เสียงปืนลูกซองก็ดังก้องป่าหนึ่งนัด ผมนั่งเอียงคอฟังอย่างตั้งใจ เผื่อจะมีอีกนัดตามมา แต่มันก็เงียบไปอย่างถนัด เวลาผ่านไปจนบรรยากาศมืดคํ่าเต็มที นกกาบินหายลับกลับรังจนหมดสิ้นแล้ว ค้างคาวหนูเริ่มบินโฉบเฉี่ยวให้เห็นมากตัวขึ้น หรีดหริ่ง ลองไน เริ่มบรรเลงบทเพลงกล่อมผืนป่ายามราตรีดังอึงคะนึง
" เฮ๊ย ไอ้ชัยมันไปถึงไหนของมันว๊ะ ? ป่านนี้แล้ว"
เสียงเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจ พวกเรามองหน้ากันเป็นเชิงคำถาม ถึงความไม่ปกติในสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อนคนหนึ่งฉายไฟกราดไปมายังทิศทางของไอ้ชัยที่เดินหายลับไปในป่าอันรกทึบมืดดำ
" เห็นจะนั่งรอกันแบบนี้ไม่ไหวแล้วล่ะว่ะ ใครจะเอายังไงก็ว่ามา ?"
ไอ้จั๊ว ลุกขึ้นยืน ถามเพื่อนๆทุกคนอย่างร้อนใจ พร้อมก้มลงไปหยิบมีดเดินป่าอาวุธประจำกายของมัน
" ไอ้ตง เอ็งไปกับข้า ไอ้ช่วยกับไอ้จั๊วอยู่เฝ้าแคมป์ที่นี่แหละ ก่อไฟให้กองใหญ่กว่านี้ อย่าให้ไฟมอดล่ะ "
ผมหยิบมีด"สปาต้า"อันเป็นมรดกจากยุคสงครามเวียดนามมาถือไว้มั่น พร้อมกับแจ้งความประสงค์กับเพื่อนๆ เพราะทนนั่งรอเพื่อนพรานไก่ป่าอย่างอึดอัดต่อไปไม่ไหว ส่วนไอ้ตงก็ถือมีดเดินป่าอย่างเตรียมพร้อม ไอ้จั๊วทำท่าจะไปด้วยให้ได้ แต่ผมอธิบายให้มันฟังว่า สำหรับป่านี้ผมมีประสบการณ์มากกว่าเพื่อนทุกคน นั่นแหละมันจึงจำใจยอมรับ
ป่าเขาสิบห้าชั้นสมัยผมเที่ยวกันนั้น เป็นป่าฝนป่าทึบทะมึนแทบทั้งผืน ไข้มาลาเรียค่อนข้างแรง แต่คนรุ่นผมยังไม่เคยได้ยินประเภทป่วยตอนเช้าแล้วตายของสายๆอีกวัน แต่ป่าสมัยคนรุ่นพ่อรุ่นลุงของผม ไอ้เรี่องจับไข้จนเพ้อจนสั่นตอนเช้ามืด แต่พอตกคํ่าก็ตายนั้น ผมได้ยินมาบ่อยจนคุ้นหู ถึงสมัยที่ผมเที่ยวกันยามนี้ก็เหอะ ไอ้ตรงไหนมีลักษณะมีเถาวัลย์ปกคลุมไม้อื่นจนทึมทึบ พวกเราจะไม่เดินเฉียดผ่านเป็นอันขาด เพราะเราไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นหมู่บ้านหรืออาณาจักรของยุง"ก้นป่อง"หรือไม่ ? นํ้าในป่าที่เราใช้ดื่มกินนั้น พวกเราต้องต้มให้สุกก่อน เรากลัวเชื้อไข้มาลาเรียเป็นที่สุด ผมเคยเห็นอาการป่วยเพราะไข้ป่ามาลาเรียของพรานป่าคนหนึ่ง แกนอนจับไข้สั่นอย่างทรมาน แต่อีกเพียงไม่ถีงชั่วโมงแกก็หายจากอาการสั่น อีกสักพักใหญ่ๆต่อมาแกก็สั่นคล้ายคนหนาวอีก สลับไปมาอย่างนี้ พอตกใกล้คํ่าแสงสุริยายังไม่ลับตาดี มาดูอีกทีแกก็นอนตายลืมตาโพรงเสียอย่างงั๊นแหละ สรุปตั้งแต่เริ่มป่วยจนตาย ไข้ป่าชนิดนี้ใช้เวลาฆ่าคนไม่เกินสี่สิบชั่วโมง
ผมกับไอ้ตงเร่งรุดตามหาเพื่อนอย่างร้อนใจ มีเพียงอาวุธมีดเท่านั้นที่เป็นเขี้ยวเล็บของเรา เพราะทั้งก๊วนเที่ยวป่าของเรามีเพียงปืนลูกซองกระบอกเดียวเท่านั้น และยามนี้มันก็อยู่ในมือของเพื่อนผู้เงียบหายอย่างเป็นปริศนาของเรา ก็อย่างที่บอกก๊วนของเราแค่มาหาความสุขในป่าเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น การมีปืนก็แค่หาสัตว์เล็กเช่นไก่ป่า กระต่าย กินประทังชีวิตและป้องกันตัวจากภัยต่างๆเท่านั้น
ผมใช้มีดฟันกิ่งไม้ที่ขวางหน้าพร้อมส่งเสียง"โฮ็ะๆ"ไปตลอดทาง เพื่อเป็นการไล่สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ที่ใหญ่กว่าเช่นหมีควาย กับป่าที่มืดมิดเรากลัวกันเหลือเกินกับการประจันหน้ากับสัตว์เจ้าของบ้าน ป่าเขาสิบห้าชั้นมีหมีควายเยอะที่สุด แล้วพวกก็ออกหากินกันทั้งกลางวันและกลางคืน เกิดประเหมาะเคราะห์ร้ายเดินไปชนกับคุณพี่แกเข้า มีหวังหน้าแหกหมอไม่รับเย็บเป็นแน่ แต่ที่แย่ที่สุดคือคืนนี้เป็นคืนข้างแรมเดือนมืด ทั้งป่าเหมือนถูกทาด้วยสีดำ การมองเห็นเป็นจึงเรื่องยากลำบาก เราอาศัยไฟฉายขนาดห้าท่อนเป็นสายตาให้ ร่อยรอยของเพื่อนผู้สูญหายยังปรากฏให้เห็น มีรอยหักกิ่งไม้ไว้เป็นระยะ นับว่าไอ้ชัยรอบคอบพอตัว เราสองคนโผล่มาหยุดอยู่กลางด่านเล็กๆซึ่งเป็นทางเดินของสัตว์ ผมกำลังตัดสินใจว่าจะไปซ้ายหรือขวาดีหนอ? พยายามฉายไฟหาร่องรอยของเพื่อน ด้านขวามือของผมประมาณสามสิบเมตร ปรากฏดงไผ่ป่าหมู่ใหญ่ บนพื้นดินใต้กอไผ่มีบางอย่างสะท้อนแสงไฟฉายวิบวับอยู่ไปมา ผมรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล ผมและเพื่อนเร่งก้าวเท้าไปอย่างรวดเร็ว
" ปืนของไอ้ชัย"
ไอ้ตง หรือบุญตง เอ่ยออกมาอย่างหวาดหวั่นใจ เบื้องหน้าของเราคืออาวุธปืนลูกซองของเพื่อนผู้สาบสูญ และสิ่งที่สะท้อนแสงไฟฉายของผมคือ แผ่นโลหะที่ติดอยู่กับตัวปืน
" ปืนอยู่นี่ แล้วเจ้าของปืนอยู่ที่ไหน ?"
ผมกระซิบบอกกับเพื่อนแล้วส่งสายตา เหมือนกำลังขอความเห็นจากเขา ไอ้ตงสอดส่ายสายตาไปมาตามแสงไฟฉาย กิ่งไผ่ทุกกิ่งไม่ปรากฏไก่ป่าสักตัว จะว่าพวกมันตกใจเสียงปืน...ก็มีความเป็นไปได้ เราเดินสำรวจมาจนถึงเศษกิ่งไผ่แห้งๆหลายกิ่ง บนพื้นดินแห้งมีเศษใบไผ่กระจุยกระจาย พร้อมปรากฏเศษขนของสัตว์ชนิดหนึ่งตกอยู่เป็นหย่อมเล็กๆ ไอ้ตงก้มไปหยิบขึ้นมาพิจารณา
" นี่มันขนของตัวอะไรว๊ะ ? "
ไอ้ตงเพ่งมองจนหัวคิ้วขมวด พร้อมยื่นเศษขนชนิดนั้นหยิบมาให้ผมดู ท่าทางหมอนี่ไม่สบายใจนัก ซึ่งก็เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับผม
" ข้าก็ไม่รู้ว่ะ "
ไอ้ตงเงยหน้ามองผมอย่างข้องใจ
" อะไรว๊ะ! เอ็งไม่รู้จริงๆง่ะ ?"
มันใช้สายตาคาดคั้นผม คล้ายต้องการคำตอบอย่างร้อนใจ ผมทำท่าจุ๊ปาก...จ้องตาของมันแล้วกระซิบว่า
" ไอ้ดาว"
ไอ้ตงทำท่าผงะแทบล้มหงายหลังในทันที มันทำตาโตอ้าปากพึมพำว่าเสือดาว สมัยนั้นป่าเขาสิบห้าชั้นมีความสมบูรณ์มาก จัดว่าเป็นป่าดงดิบขนานแท้ พรานอาชีพคนหนึ่งเคยกล่าวกับผมทำนองว่า การพบเสือโคร่ง เสือดาว หรือเสือดำ ไม่ต้องอาศัยปาฏิหาริย์เลยสักนิด กับเสือดาว หรือไอ้ดาวนั้นผมเชื่อว่าป่าแห่งนี้มีแน่นอน และออกจะชุกชุมเสียด้วย แต่กับไอ้ดำหรือเสือดำ รวมไปถึงไอ้ลายพาดกลอนหรือเสือโคร่งนั้น ผมไม่เคยเชื่อว่ามี เพราะผมไม่เคยได้ยินพรานทุกรุ่นเอ่ยถึงเลยสักครั้งในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ผมว่าอีตาพรานที่พูดนั้น ถ้าแกไม่บ้านํ้าลาย แกก็เมาเหล้าป่าเป็นแน่
" แล้วทีนี้จะเอาไงต่อว๊ะ"
เสียงเพื่อนถามผมเพื่อขอความเห็น นั่นน่ะสิ! จะเอายังไงต่อดี ? ผมมารู้สึกตัวตอนนี้เองว่า ผมพาเพื่อนเข้าป่ามาลึกจนเกินไปแล้ว ไอ้ครั้นจะถอยหลังกลับ โลกก็จะติติงเอาว่าขี้ขลาด ป่ายิ่งลึก สัตว์ร้ายก็ยิ่งชุม ไข้ป่าก็ยิ่งแรง ประเภทเป็นไข้ป่าตอนเช้า แต่ตอนเย็นของอีกวัน พวกก็นอนตัวแข็งทื่อแล้ว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ"คน" ด้วยกันนี่แหละ คนพาลสันดานหยาบ ไม่ว่าในป่าหรือในเมือง เลี่ยงได้หลบได้ก็จงกระทำโดยพลันเถิด อีกเรื่องหนึ่งคือ ในยามปกติแล้ว ไม่เคยมีพรานป่าคนไหนกล้าเดินป่าในยามคํ่าคืนเป็นเด็ดขาด แต่คนอย่างพวกผมแม้ไม่ใช่คนกล้า แต่ความบ้าพวกผมมีนับไม่ถ้วน เราสองคนตะโกนเรียกเพื่อนจนเริ่มเจ็บคอ แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบสนิท ผมรู้สึกอึดอัดขัดใจ จึงยิงปืนขึ้นฟ้าเสียงลั่นจนไอ้ตงสะดุ้งแล้วด่าผม โทษฐานที่ยิงปืนแล้วไม่บอกมัน
" แล้วจะเอายังไงกันต่อว๊ะนี่ ?"
ไอ้ตงหันมาปรึกษาผมอย่างกังวลใจ ผมเหลียวมองฝ่าความมืดไปรอบๆตัว ไฟฉายห้าท่อนในมือส่ายไปมาโดยรอบทิศทาง ผมขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิดกังวล คล้ายตัดสินใจไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น
" ก็ตามต่อสิว๊ะ แต่เอ็งหมั่นมองด้านบนเอาไว้บ้างก็แล้วกัน เผื่อไอ้ดาวไอ้ดำมันโจนใส่น่ะ"
ผมตัดสินใจเด็ดขาด ในการติดตามเพื่อนผู้สูญหายอย่างลึกลับ
" เฮ๊ย! ข้าถามเอ็งจริงๆเหอะว๊ะ พวกเราเที่ยวป่านี้กันมาหลายครั้ง ทำไมเพิ่งมาเจอเสือกันอีตอนนี้ว๊ะ"
ไอ้ตงตั้งคำถามจนผมสะดุ้ง ผมจึงแกล้งจุ๊ปากเป็นความหมายสื่อให้มันหุบปาก ผมไม่อยากบอกมันว่า เพราะความอวดดีของผม ในการพาเพื่อนๆเช้ามายังป่าที่ลึกเกินไป มันเป็นป่าที่ผมก็ไม่เคยเที่ยวท่องมาก่อน ขืนบอกไปก็เกรงว่ามันจะกังวลใจมากกว่าเดิม การหายไปของพรชัยหรือไอ้ชัย สร้างความปั่นป่วนและวิตกในก๊วนคนเที่ยวป่าของพวกเราอย่างยิ่ง ต่างก็โทษกันเองว่าไม่น่าปล่อยเพื่อนไปคนเดียว บ้างก็ว่า รู้งี๊ตามไปเป็นเพื่อนด้วยก็ดีแล้ว
" เฮ๊ย! เอ็งพูดซ๊ะข้ากลัวเลย ป่านี้เสือมันชุมนักเหรอว๊ะ ถึงให้มองแต่ข้างบนน่ะ "
ผมเงียบไม่ตอบในคำถามของมัน ไฟฉายส่องหาร่องรอยของเพื่อนพรานไก่ป่า ไปตามพื้นหญ้าและด่านสัตว์เบื้องหน้า แต่มันก็ยากเย็นเสียเหลือเกินในการแกะรอย สำหรับพรานจำเป็นอย่างผม ต่อให้พรานอาชีพก็เหอะ คงไม่มีพรานคนไหนทำกัน อย่างที่ผมสองคนกำลังทำอยู่ในขณะนี้ ความเป็นห่วงเพื่อนแท้ๆ ทำให้เราสองคนลืมกลัวลืมกฏป่าจนสิ้น
ฟ้าเริ่มจะสาง กองไฟที่ก่อไว้เมื่อคืนเริ่มจะโรยรา ควันไฟลอยล่องแผ่วเบาสู่เบื้องบนคล้ายไว้อาลัยต่อบางสิ่ง เสียงไก่ป่าโก่งคอขันต้อนรับอรุณจนรอบทิศทาง นํ้าค้างพร่างพรมบนเหล่าใบไม้ใบหญ้า หมอกบางๆล่องลอยอ่อนช้อยรอบตัวของพวกเรา เสียงชะนีหวนโหยมาแต่ไกลๆ ผมกับไอ้ตงคลำทางกลับมายังแคมป์อย่างอ่อนร้าโรยแรง เอาเมื่อตอนรุ่งสางนี่เอง พอแสงแดดเริ่มโลมเลียผืนป่า เราทั้งหมดก็มุ่งหน้าค้นหาเพื่อนผู้สูญหายอย่างรีบเร่ง เราแกะรอยมาตามทางด่านเล็กๆ กลางป่าไผ่หนาม ผมพาเพื่อนๆเดินอ้อมรังต่อหลุมขนาดย่อมๆ ผมรู้สึกขนลุกซู่เมื่อเห็นรังของมัจจุราชมีปีกชนิดนี้ ก็เมื่อคืนผมกับไอ้ตงก็เดินบนเส้นทางนี้ แต่ผมไม่ยักเห็นรังต่อหลุมมรณะนี้ ไอ้ตงเหลือบมามองผมแล้วจุ๊ปากส่ายหน้าโดยไม่มีใครเห็น เมื่อคืนผมกับไอ้ตงหวุดหวิดกลายเป็นผีเฝ้าป่าแห่งนี้ไปแล้ว ฉากคือความมืดแล้วผมก็สาบานได้ว่า ผมไม่เห็นรังต่อมหาภัยนี่จริงๆ แคล้วคลาดดีแท้หนอ พวกเราเดินผ่าน"กำจัดต้น"ไม้ใหญ่ขนาดสองคนโอบ ร่องรอยฟ้อนเล็บของหมีควายประทับอยู่บนเปลือกของมัน จากพื้นดินจนเลยเหนือศรีษะของพวกเราไปประมาณสองเมตรเศษ ผมได้แต่ภาวนาว่า ทั้งมันทั้งพวกเราอย่าได้เจอะเจอกันในเวลานี้เลย
พวกเราเดินบนด่านเล็กๆ พยายามสอดส่องหาร่องรอยของไอ้ชัยมาตลอดทาง เสียงลิงวอกสองสามตัวบนกิ่งต้น"ไข่เน่า"ส่งเสียงทักทายกันขรม พญากระรอกดำกระโดดหนีไปยืนจ้องพวกเราบนกิ่งต้น"ตะขบป่า" มันส่งเสียง"ก๊อกๆ" เตือนชาวสัตว์ป่าทั่วไป ว่ามีอาคันตุกะแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนในถิ่นป่าของมัน ป่าหน้าแล้งเดินง่ายกว่าป่าหน้าฝน โดยเฉพาะบนทางด่านทางเดินของสัตว์ เราแทบไม่ต้องใช้มีดฟาดฟันต้นไม้ที่ขวางทางเดินเลย ป่าทึบดงมืดแสงแดดแทบส่องไม่ถึงผิวดิน เสียงนํ้าในท้องของสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งร้องลั่นแว่วมา ผมซึ่งเป็นคนนำทางชะงักกึกอย่างฉับพลัน จนร่างของไอ้จั๊วที่เดินตามหลังผมมา ชนผมอย่างจัง
" เฮ๊ย! ไอ้หอกหักเอ๊ย จะหยุดก็ไม่เสือกบอก ปลายปืนพ่องมึงกระแทกหน้าข้าเข้าแล้วนี่ อูย"
เสียงไอ้จั๊วบ่นขรมต่อว่าผมพร้อมร้องโอย ส่วนไอ้พวกที่เหลือซึ่งก็เดินตามกันมาเป็นแถวเรียงหนึ่ง ต่างทำหน้าตาตื่นเพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
" เงียบโว๊ย เงียบก่อน ฟังเสียงนั่นสิ "
ผมใช้นิ้วชี้ปิดปากบอกให้เพื่อนๆเงียบ พร้อมกับย่อตัวนั่งนิ่ง สายตาของผมส่ายไปมาเพื่อค้นหาเสียงประหลาดไอ้พวกที่อยู่ด้านหลังของผม คงเริ่มรู้ตัวถึงความผิดปกติบางอย่างเข้าให้บ้างแล้ว ผมค่อยๆปลดปืนออกจากไหล่แล้วกระชับมั่นเตรียมพร้อม คอยรับสถาณการณ์ที่อาจบังเกิดขึ้นอย่างเงียบกริบ ไอ้ช่วยซึ่งนั่งนิ่งอยู่ท้ายสุด สายตาของมันจ้องดูพฤติกรรมของผมอย่างไม่วางตา หัวคิ้วของมันชนกันคล้ายฉงนสงสัยเต็มที
" ไอ้แป๊ะ เอ็งเจออะไรว๊ะ ?"
ไอ้ช่วยส่งเสียงถามผมมาเบาๆ ไอ้ตง ไอ้จั๊ว ก็ส่งสายตาคล้ายสอบถาม และต้องการคำตอบจากผมเช่นกัน ผมกระซิบบอกเพื่อนๆไปว่า
" ข้าได้ยินเสียงนํ้าในท้องช้างมันร้อง ว่ะ"
พวกมันหันหน้ามามองกัน แล้วหันมาจ้องหน้าผม พร้อมพูดพร้อมๆกันดังๆว่า
" เอ็งได้ยินเสียงนํ้าในท้องช้าง ? "
" เออ แล้วพวกเอ็งไม่ได้ยินกันมั่งเหรอว๊ะ ?"
พวกมันมองหน้ากัน ไอ้จั๊วยืนขึ้นแล้วชี้ไปที่พุงของมัน
" หึ หึ ไอ้ที่เอ็งได้ยินน่ะ มันไม่ใช่เสียงนํ้าในพุงช้างหรอกไอ้พรานใหญ่เอ๊ย! แต่มันเป็นเสียงนํ้าในพุงของข้าเองนี่แหละ ก้อตั้งแต่เช้าจนเข้าเที่ยงวันเข้านี่แล้ว ข้าวยังไม่ตกถึงท้องเลยสักเม็ด แดกกันแต่นํ้าๆ นี่แหละ นี่ถ้าไม่พะวงเรื่องตามไอ้ชัย ข้าอยากจะหัวเราะให้งอหายไปเลยเชียวว่ะ โธ่ เวรกรรมแท้ๆหนอ ไอ้พรานกระจอกเอ๊ย "
" อ้าว งั๊นเหรอว๊ะ โธ่! ขัานี่ก็เกร็งเสียแทบแย่ หลงคิดว่าเป็นไอ้งวงยาวหูใหญ่ซ๊ะอีก"
ผมทำหน้าเหวอตอบเพื่อนไป เมื่อทราบที่มาของเสียงนั้น โธ่! ใครจะไม่ระแวงล่ะ ก็ป่าภาคตะวันออกแห่งนี้ มันก็คือดินแดนของช้างป่าดีๆนี่เอง แล้วพวกก็ชอบมายืนหลับนิ่งสนิทปนไปกับสีเขียวอมดำของป่าซ๊ะด้วย
" เมื่อคืน ไอ้พรานที่ไหนก้อไม่รู้ เสือกพาข้าเดินเกือบไปตกหลุมต่อป่าเข้าให้ เกือบซวยไปแล้วไหมล่ะข้าเนี่ย "
ไอ้ตงได้ที ฟ้องไอ้จั๊วกับไอ้ช่วยเรื่องผมพามันไปเกือบตกหลุมต่อป่าเมื่อคืน
" ตกเติกที่ไหนกันว๊ะ ถ้าตกจริง...เอ็งจะมายืนเห่าข้าได้ไง ป่านนี้เอ็งไม่โดนมันแทะเหลือแต่กระดูกอยู่ก้นหลุมแล้วเหรอว๊ะ ฮี่โธ่ เอ็งก้อพูดซ๊ะข้าเสียศักดิ์ศรีพรานใหญ่หมดเลย "
" ใครมันตั้งให้เอ็งเป็นพรานใหญ่ว๊ะ ข้าอยากรู้จริ๊งเชียว ถุ๊ยส์ "
ไอ้ตงแกล้งทำตาเหลือกถาม
"ข้าก็ตั้งของข้าเองสิว๊ะ ใครจะมาหลับตาตั้งให้ข้าล่ะ ?"
" พอแล้วๆ อย่าเถียงกันเลย พวกเราจะโทษไอ้แป๊ะมันก็ไม่ได้ ในป่ามันมืดตื๊ดตื๋อออกอย่างนั้น จะให้มันเห็นเหมือนตอนกลางวันก็ไม่ได้ ที่สำคัญมันไม่ใช่พรานป่าสักหน่อย ก็แค่ไร่ของมันใกล้ป่าก็เท่านั้น"
ไอ้จั๊วแก้ต่างให้ผม แรกๆก็ฟังรื่นหูดีอยู่หรอก แต่ผมรู้สึกขัดใจที่มันว่าผมไม่ใช่พราน แต่เวลานี้ตะวันก็เลยหัวไปโขแล้ว ท้องไส้ของทุกคนก็กำลังประท้วงขอข้าวกินจนแสบท้องแล้ว เรื่องขัดเคืองอารมณ์จำต้องตัดทิ้งไปก่อน พวกเราตัดสินใจตั้งวงหุงข้าวในทันที
เวลาบ่ายแก่ๆของวันนั้น พวกเรามายืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่กลางป่า ด่านสัตว์สี่ห้าด่านแยกเป็นทางรอบตัวของเรา มันชวนสับสนว่าจะไปเส้นทางใดดี ร่องรอยของเพื่อนผู้สูญหายก็มลายหายลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว และเวลานี้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า พวกเราอยู่ ณ จุดใดบนผืนป่าแห่งนี้
" เอาล่ะมึง ข้าว่างานนี้ต้องมีหลงป่ากันอีกแน่แล้ว จะไปทางไหนกันว๊ะเนี่ยเฮ๊ย ทางด่านเยอะแบบนี้เลือกไม่ถูกว่ะ "
เสียงเพื่อนคนหนึ่งแสดงความหวั่นวิตก ผมพยายามมองหายอดเขาสิบห้าชั้นเพื่อกำหนดทิศทาง แต่หายังไงก็หาไม่พบ ป่ามันมืดทึบต้นไม้แต่ละต้นก็สูงใหญ่ซ๊ะจนต้องแหงนคอมอง มีทางเดียวเท่านั้นคือ...เราต้องเดินย้อนกลับเส้นทางเดิม และต้องเป็นการเดินที่ต้องแข่งกับเวลาด้วย หากตะวันตกดินเสียแล้ว พวกเรามีหวังต้องนอนกันกลางป่าเป็นแน่แท้ทีเดียวเชียว อุปกรณ์ยังชีพก็ซุกซ่อนอยู่ที่แคมป์เก่าเสียหมดสิ้น โดยเฉพาะเหล้าของโปรดนี่แหละ เราเข้าป่าก็เพื่อหวังหาที่กินเหล้าเป็นหลัก ประเภทขาดเธอฉันตายแน่
ตลอดเส้นทางพวกเราแทบไม่ได้คุยกันเลย มีแต่ไอ้ช่วยที่บ่นกระปอดกระแปดว่า เมื่อไหร่จะถึงแคมป์เสียที ก่อนคํ่าของวันนั้น เราดั้นด้นมาจนพบ"คลองโตนด" นั่นหมายถึงว่าแคมป์ของเราก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ผมบอกเพื่อนๆไปอย่างนั้น พวกเราเดินเลาะคลองตะโหนดมุ่งขึ้นทิศเหนือ เสียงสัตว์ป่าบางชนิดแตกตื่นกับเสียงเดินยํ่าป่าของพวกเรา ผมซึ่งเป็นผู้นำทางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นตัวอะไร เพราะมันมืดคํ่าเต็มทีแล้ว เพราะอย่างที่รู้ๆกัน ในป่ามืดเร็วกว่าในเมืองเป็นไหนๆ พวกเราอาศัยแสงไฟฉายเป็นตัวนำทาง เมื่อเพื่อนบางคนฉายไฟไปตามกิ่งไม้ ก็มักพบดวงตาของสัตว์ชนิดต่างๆ แต่เวลานั้นเราไม่ได้ให้ความสนใจนัก ใจของพวกเรายามนี้คือแคมป์ที่พักอันเป็นวิมานของเราเท่านั้น เราลืมแม้กระทั่งเพื่อนผู้หายไปในป่าแห่งนี้ ขณะนี้แข้งขาของผมและอาจรวมถึงของเพื่อนผมด้วย มันอ่อนล้าจนไม่อยากจะก้าวแล้ว สิ่งที่ผมนึกคิดอยู่ในหัวยามนี้คือ แกงป่ากับข้าวสวยร้อนๆพร้อมเบียร์เย็นๆสักขวดนึง แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ผมเดินไปก็คิดฝันไป และผมก็แน่ใจว่าไอ้พวกที่เดินตามหลังผมมา พวกมันก็คิดไม่ต่างไปจากผมหร๊อก
แมลงป่าราตรีส่งเสียงร้องเพลงกล่อมไพรเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมา นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาว่าสองทุ่มเศษแล้ว ต้น"หลุมพอ"ยืนต้นตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว มันเป็นที่หมายจำของผมว่า แคมป์พักของพวกเราก็อยู่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงนี่แหละ ประสบการณ์ยามเมื่อผมอยู่ในป่ามันสอนผมว่า หากคุณไม่อยากกินข้าวลิง ก็โปรดจดจำสัญลักษณ์ สักอย่างเอาไว้ให้แม่นยำ ก่อนจะข้ามคลองตะโหนดเพื่อไปยังแคมป์พัก พวกเราต้องฝ่าดงต้น"สาบเสือ" ที่สูงเกือบท่วมหัว ไปเสียก่อน ผมใช้ปลายปืนลูกซองค่อยๆแหวกใบสาบเสืออย่างเงียบกริบ "งูเขียวหางไหม้" งูพิษอันตรายและไม่หลีกคนกระทบกับแสงไฟฉาย มักเกาะเกี่ยวกับกิ่งของต้นสาบเสือ มีดสปาต้าในมือของผมฟันฉับจนคอของมันหลุดกระเด็น
พลันที่ใบของต้นสาบเสือถูกแหวกออก ปรากฎกองไฟเล็กๆกองหนึ่ง เปลวไฟพลิ้วไหววูบวาบตามกระแสลมป่าอยู่กลางแคมป์ของเรา ผมรีบหดตัวกลับมาด้านหลังดงต้นสาบเสืออย่างเงียบกริบ เพื่อนที่อยู่ด้านหลังพากันแปลกใจในอากัปกิริยาของผม
" อะไรว๊ะ! เอ็งทำไมไม่เดินไปต่อล่ะ?"
ไอ้จั๊วถามผม แลัวพยายามจะก้าวเดินไปดูให้หายข้องใจ จนผมต้องดึงคอเสื้อของมันไว้
" เอ็งเงียบไว้ แล้วแหกตาดูนั่นให้ดี"
ไอ้จั๊วค่อยๆโผล่หัวจ้องมองไปที่กองไฟกลางแคมป์ สักพักหนึ่งมันจึงหันมากระซิบกับผมว่า มันไม่เห็นใครหรืออะไรนอกจากกองไฟเท่านั้น
ผมเขกหัวมันดังโป๊กจนไอ้นั่นครางอู้ ผมกระซิบกับทุกคน
" แล้วใครเป็นคนก่อไฟว๊ะ ? "
ไอ้พวกนั้นทำตาโตตาเหลือกสีหน้าแสดงความกังขาอยู่เต็มที ไอ้ช่วยกับไอ้ตงแหวกทางไปชะเง้อดูเพื่อให้หายสงสัย ไม่ว่าจะในเมืองอันศิวิไลซ์ หรือในป่าทึบกันดารเช่นนี้ สัตว์มนุษย์เป็นสัตว์ที่น่ากลัวและไว้ใจยากที่สุด แต่ฉับพลันนั้น...ไอ้จั๊วก็ดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะ ผมมองเห็นตาตี่ๆปากบางๆของมันแสยะยิ้มเหมือนผู้มีชัยในสนามรบอันยิ่งใหญ่
" มีใครพกหนังสะติ๊กมาบ้างว๊ะ "
ไอ้ตงทำคอย่นแล้วหลับตาปี๋ เมื่อได้ยินคำพูดของไอ้จั๊ว
" ไอ้บ้า คนเที่ยวป่าบ้านพ่องมึงพกหนังกะติ๊กด้วยหรือว๊ะ นี่ใจคอพ่องมรึง จะชวนเพื่อนให้เดินเรียงหน้าไปให้ชาวบ้านยิงหัวกะบาลงั๊นเร๊อะว๊ะ ไอ้ชิบหาย"
ไอ้ตงบริภาษไอ้จั๊วชุดใหญ่ ไอ้ช่วยจับไหล่ไอ้ตงสอบถามว่าจะเอายังไงต่อ เพราะมันทั้งหิว ทั้งเหนื่ยล้าจนขาแข้งอ่อนหมดแล้ว
" ปืนสิว๊ะ! ยิงแล้วก็เจรจา ดูทีรึ...ว่ามันเป็นใครในอาณาจักรของเรา ?"
ไอ้ตงพูด พร้อมกำมือขวาแล้วชูแขนขึ้น มันทำท่าเหมือนนักปลุกระดมเสียยั่งงั๊นแหละ แต่ผมก็เห็นด้วยกับความคิดของมัน
" เออ เข้าท่าเว๊ย สมแล้วที่เอ็งฉลาดกว่าพวกข้า แต่ที่เอ็งพูดมาเมื่อกี้...เอ่อ ข้าฟังแล้วมันเหมือนบทเจรจาของงิ๊วศาลเจ้ายังไงก็ไม่รู้ว่ะ "
ผมถาม เพราะรู้สึกคุ้นหูกับคำพูดของมัน
"โธ่! ไอ้แป๊ะ เอ็งนี่ก็ไม่รู้อะไรซ๊ะเลยหนอ วาจานี้ มีน้อยคนนัก ที่จะเอ่ยมันออกมาได้"
ผม ไอ้จั๊ว และไอ้ช่วย ต่างมองหน้ากันแล้วทำตาปริบๆโดยมิได้นัดหมาย ไอ้จั๊วกระซิบเบาๆว่า
" อาการเพ้อเจ้อแบบนี้ พวกเอ็งคิดว่ามันขาดเหล้าไม๊?
" ข้าไม่ได้หิวเหล้า แต่ข้าหิวข้าวเว๊ย"
ไอ้ตงบ่นพร้อมกับเอามือลูบท้อง
กระสุนนัดนั้นกระทบก้อนหินลูกเท่าโอ่งอาบนํ้าเสียงดังลั่นป่ายามราตรี ยังไม่ทันสิ้นเสียงปืนที่ผมยิงไป ก็มีเสียงหนึ่งตะโกนแทรกขึ้นมาอย่างฉับพลัน
" มึงจะยิงหาพ่องพวกมึงเร๊อะ ไอ้พวกเวรตะไลเอ๊ย!"
บริเวณแคมป์ที่ว่างเปล่า มีเพียงกองไฟเล็กๆ และเงาดำของก้อนหินและต้นไม้ ในสายตาของผม มันปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่เสียงที่ผมได้ยินนั้น ผมจดจำได้อย่างแม่นยำ เพราะมันเป็นเสียงที่ผมคุ้นชินมาเนิ่นนานแล้ว ผมและเพื่อนๆวิ่งแหวกดงหญ้าสาบเสือจนมาถึงริมคลองโตนด เจ้าชองเสียงนั้นโผล่ออกมาจากหลังต้นกระบากใหญ่ ท่าทางของเขาคงไม่สบอารมณ์กับพวกผมนัก เราเดินข้ามคลองมุ่งหน้าไปหาเขาอย่างตื่นเต้นดีใจ
"พวกมึงหายหัวไปไหนกันมาว๊ะ ข้ากลับมาไม่ยักเห็นหมาสักกะตัวเลย"
พวกเราแสดงความดีอกดีใจที่เห็นเพื่อนกลับมา ในอาการครบสามสิบสองประการ
" เอ็งจะเห็นพวกข้าได้ไงล่ะ ก็ในเมื่อพวกข้ายกโขยงกันไปตามหาเอ็ง ตั้งแต่ฟ้าเริมสางโน่นแน่ะ"
ไอ้จั๊วกับไอ้ช่วย แย่งกันพูดจนฟังแทบไม่ได่ฟังศัพท์ ครับ...ชายผู้นี้คือนายพรชัย หรือไอ้ชัยเพื่อนของพวกเรานั่นเอง
" เฮ๊ย เห็นเพื่อนมีอาการครบสามสิบสองข้าก็โล่งใจแล้วว่ะ แต่ไอ้ที่ไม่โล่งใจก็คือ ตอนนี้ข้าหิวจนแสบท้องแล้วล่ะ พวกเราหุงหาข้าวกินกันก่อนดีกว่าเว๊ย เรื่องอยากรู้เก็บกันเอาไว้ก่อนเหอะว๊ะ"
จบเสียงพูดของไอ้จั๊ว พวกเราก็มีอาการหิวข้าวขึ้นมาทันที ไอ้ช่วยส่งขวดเหล้าเวียนจนครบคนจนเกลี้ยงขวด ข้าวสวยที่หุงใหม่ๆส่งกลิ่นหอมฉุยจนนํ้าลายสอ กับข้าวในแบบฉบับเฉพาะกิจขนิดเร่งด่วนจี๋ก็คือ ต้มมาม่าผสมปลากระป๋อง กับข้าวประเภทนี้ ในยามปกติไม่อยู่ในสายตาของพวกเรานัก เพราะกินกันจนเบื่อ แต่ก็ต้องมีติดเอาไว้บ้างยามฉุกเฉินและถือเป็นอาหารเฉพาะกิจ แต่ยามหิวจัดๆ จนหน้าจะมืดแบบนี้ มันคืออาหารที่เลิศรสกว่าอาหารตามภัตตาคารใหญ่ๆเสียอีก
ไอ้ชัยเล่าว่า มันตามเสียงไก่ป่าจนพบดงไผ่หนาม ที่พวกไก่ป่าจับคอนนอนสงบนิ่ง ขณะนั้นแสงยามใกล้คํ่าก็อ่อนแรงเหมือนไฟฉายใกล้หมดแรงถ่านแล้ว ในแสงอันขมุกขมัว ไอ้ชัยเดินอ้อมไปที่ด้านหลังของดงไผ่ป่า ขณะจะหาตำแหน่งรอเหนี่ยวไกปืนอยู่นั้น เสียงกิ่งตันเหียงที่อยู่ด้านหลังของมันหักดังเป๊าะ เสียงสัตว์ตระกูลแมวชนิดหนึ่ง ร้อง" เเควี๊ยว" อยู่ด้านบนศรีษะของมัน ไอ้ชัยหันเงยหน้ามองอย่างตกใจ เสือดาววัยฉกรรจ์ตัวนั้นกำลังตกมาจากกิ่งต้นเหียง ลำตัวของมันปะทะกับกิ่งด้านล่าง ตัวมันสะท้อนกระดอนกระเด็นมุ่งสู่ไอ้ชัยพรานล่าไก่ป่า ไอ้ชัยหงายหลังทิ้งตัวลงบนพื้นดินที่แข็งเหมือนหิน เสียงปืนลูกซองในมือลั่นดังตูม ยังไม่ทันสิ้นเสียงปืน ร่างของแมวใหญ่ก็หล่นทับลงยังตัวของมัน ทั้งคนทั้งแมวใหญ่ต่างส่งเสียงร้องด้วยความตกใจต่อกัน แต่ด้วยปฎิกิริยาตามธรรมชาติสัญชาตญาณเอาตัวรอด ไอ้ชัยได้เศษขนของไอ้ดาวมาหนึ่งกำมือ ส่วนไอ้ดาวแมวใหญ่ก็ฝากรอยแผลเอาไว้เป็นที่ระลึก ที่ต้นแขนขวาของพรานไก่ป่าจนเสื้อขาดเลือดทะลัก ทั้งคู่กลิ้งหลุนๆตามกันมาสู่เบื้องล่าง ไอ้แมวใหญ่ปฏิกิริยารวดเร็วกว่า มันดีดตัวแล้วโกยแนบวิ่งหางจุกตูดหายลับไปกับความมืด ส่วนบรรดาไก่ป่าที่จับคอนนอนนิ่งบนกิ่งไผ่ ต่างแตกตื่นบินหนีตีปีกหายลับไปกับแสงสุดท้ายของวัน
" แล้วทำไมเอ็งไม่หลบใต้กิ่งไผ่ล่ะว๊ะ"
ไอ้ช่วยซักถามอย่างข้องใจ พรานไก่ป่าของเราผู้มีใบหน้าแดงกรํ่าเป็นมันเลื่อมด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ผสมเหงื่อหันหน้ามาตอบผู้ถามว่า
" มันเร็วซ๊ะจนข้าหลบไม่ทันนะสิ"
เพื่อนพรานไก่ป่าเล่าต่อว่า เมื่อหายตกใจแล้ว ก็ให้รู้สึกปวดที่ต้นแขนขวาและบนหัวเป็นอย่างยิ่ง ตอนกลิ้งลงมาจากเนินพร้อมคู่ปรับ หัวของพรานไก่ป่าคงไปกระแทกกับก้อนหินเป็นแน่ มันนั่งมึนงงอยู่พักใหญ่เมื่อตั้งสติได้แล้วเพื่อนก็เจอกับปัญหาใหญ่ ฉากของความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่รอบกาย การกำหนดทิศทางเป็นสิ่งยากลำบาก การปีนขึ้นเนินที่ตนเองกลิ้งลงมาถือเป็นจุดเริ่มต้นในเวลานี้ และปืนเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการกำหนดทิศทาง สำหรับป่าใหม่ที่มืดมิดและไม่คุ้นชินเช่นนี้
" ข้าปีนขึ้นเนินจนแน่ใจว่านี่ต้องเป็นเนินที่ใช่แน่ๆ"
ไอ้ชัยพรานไก่ป่าพูดพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอย่างขัดเคืองใจ ควันบุหรี่ถูกพ่นจากรูจมูกของมันเป็นทางยาวใกล้แสงไฟฟืน
" แล้วไงต่อว๊ะ ใช่เนินที่เอ็งหารึเปล่า ?"
ไอ้ช่วยถามอย่างอยากรู้เต็มที
" ใช่อะไรล่ะ...มองไปทางไหนข้าก็เห็นแต่ป่าไผ่ดำทะมึนเหมือนกันไปหมด "
" อ้าว! มันจะยากอะไรว๊ะ ไฟฉายเอ็งก็มีนี่นา"
ไอ้ตงถามอย่างสงสัยเต็มที ไอ้ชัยพรานไก่ป่าใช้แขนเสื้อเช็ดที่หน้าผากพร้อมตอบคำถาม
"โธ่! หากข้ามีไฟฉาย พวกเอ็งก็ไม่ต้องลำบากยกโขยงออกไปตามหาข้าหร๊อกเพื่อนเอ๊ย"
ไอ้ชัยเล่าว่า หลังจากมะงุมมะงาหราอยู่พักใหญ่ มันจึงตัดสินใจคลำทางไต่เนินลงมายังด่านเส้นหนึ่ง รอบกายของมันเต็มไปด้วยไม้ใหญ่ยืนต้น มันสูงจนมองไม่เห็นท้องฟ้ายามราตรี เสียงหรีดหริ่งลองไนเริ่มกลับมาบรรเลงบทเพลงป่าอีกครั้ง หลังจากเงียบหายไปพักใหญ่
" ตอนนั้นข้ากลัวชิบเป๋งเลย ปืน ไฟฉายก็ไม่มี ข้าเกือบนอนบนต้นไม้แล้ว แต่ก็คิดได้ว่า...ข้าเดินออกจากแคมป์ของเราไม่ถึงยี่สิบนาที แคมป์มันต้องอยู่ใกล้นี้แหละ ข้าเลยเดินไปตะโกนไปจนเสียงแห้ง"
" เอ๊ะ! พวกข้าไม่ยักกะได้ยินเสียงของเอ็งเลย ไม่เชื่อถามไอ้พวกนี้สิ "
ไอ้ช่วยพูดแทรกขึ้นอย่างข้องใจเต็มที ซึ่งก็จริงอย่างที่มันพูด เพราะพวกเราไม่ได้ยินของมันเลยสักนิด
" โธ่! พวกเอ็งจะได้ยินได้ไงล่ะ ป่าก็ทึบเนินเขาก็บังอยู่ แถมข้ายังเดินผิดทิศผิดทางกับแคมป์ของเราด้วย พูดง่ายๆก็คือ ข้าเดินห่างจากแคมป์ไปตั้งหลายกิโลเชียว "
" อ้าว! ไหงเป็นยั่งงั๊นว๊ะ"
ไอ้จั๊วถามด้วยความฉงน
" เอ็งลืมไปแล้วเร๊อะ จะไม่ให้มันหลงทางได้ไงล่ะ ไฟฉายมันก็ไม่มี ป่ามันก็มืดตื๋อออกยังงั๊น มันเดินกลับแคมป์มาได้ มันก็ยอดคนแล้วล่ะ ข้าว่า"
ผมช่วยตอบคำถามของไอ้จั๊วแทน และยกย่องในความกล้าหรือบ้าของไอ้ชัยเต็มที่ คนอะไร เดินคนเดียวในป่าดงดิบยามคํ่ามืดโดยไม่มีปืน ไม่มีไฟฉายก็ได้ด้วย หากไปเล่าให้พรานทั่วไปฟัง พวกนั้นต้องหาว่าโกหกแน่ๆ หรือไม่ก็ต้องหาทางมาดูตัวไอ้ชัยพรานไก่ป่าแน่นอนทีเดียวเชียวแหละ เพื่อนพรานไก่ป่าเล่าต่ออีกว่า
" เมื่อข้าเริมรู้ว่าข้าหลงป่าแน่นอนแล้ว ข้าก็ปีนต้นไม้หาที่นอน รอจนกว่าฟ้าจะสางดีกว่า ขืนเดินต่อมีหวังโชคร้ายแน่ๆ ที่สำคัญข้าไม่รู้ว่าไอ้ตัวอะไรมันเดินตามหลังข้ามานี่สิ โครตกลัวเลยว่ะ"
ไอ้ชัยพูดพร้อมกับเอามือลูบแขนตัวเอง เพราะเกิดอาการขนลุกเมื่อพูดถึงสิ่งที่เดินตามหลังมันมา พวกเรามองหน้ากัน แล้วหันไปถามไอ้ชัยโดยพร้อมกัน
" ตัวอะไรของเอ็งว๊ะ ?"
" ข้าก็ไม่รู้ เพราะเมื่อข้าหันกลับมามอง ข้าก็ไม่เห็นอะไรเลย ป่ามันมืด แต่กลิ่นสาบแรงชิบเป๋งเลย ข้าเลยตัดสินใจหาต้นไม้นอนดีกว่า แต่จะนอนก็นอนไม่ได้ว่ะ ข้ากลัวตกลงมาคอหักตายเสียก่อน ข้าก็เลยเป็นเทพารักษ์ยืนเกาะต้นไม้จนถึงเช้านั่นแหละ "
" แล้วต่อจากนั้นล่ะ "
ไอ้ตงถาม พร้อมกับโยนไม้ฟืนลงบนกองไฟ
" จากนั้นข้าก็หาคลองตะโหนดน่ะสิ กว่าจะเจอคลองข้างี้เดินขาแทบลากเลยพวกเอ็งเอ๊ย ข้าจับทิศเหนือได้ข้าก็เดินเลาะคลองมาถึงแคมป์เอาเมื่อบ่ายนี่แหละ หว่างทางข้ามาเจอช้างเกือบยี่สิบตัว ต้องแอบรอให้มันไปไกลๆซ๊ะก่อน กว่ามันจะย้ายคณะหางเครื่องของมันออกไปได้ เล่นเอาข้าหิวข้าวจนตาลายเลยเชียว "
" คราวนี้เห็นท่าเอ็งคงไม่อยากกินไก่ป่าไปนานล่ะสิท่า "
ผมสัพยอกเพื่อนเบาๆ
หมอนั่นทำหน้าเจื่อนๆ แล้วพูดว่า
" เฮ้ยพวกเรา นี่ก็ใกล้จะเช้าแล้ว อย่าไปนงไปนอนมันเลยว๊ะ ได้ยินเสียงไก่ป่าร้องทิศไหน เราก็ไปเอามาย่างกินทิศนั้นเถอะว่ะ งานนี้ข้าขอแก้มือหน่อย พ่อจะกินให้หายอยากหายแค้นเชียว "
พวกเราหันมามองหน้ากัน แล้วต่างก็หัวเราะจนลั่นป่า .
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น