คลังบทความของบล็อก

8 กันยายน 2567

เรื่องสั้นเที่ยวป่า ตอน พรานหมูป่า ( พ.ศ. 2535 - 2538 )

 เรื่องสั้นเที่ยวป่า ตอน พรานหมูป่า  ( พ.ศ. 2535 - 2538 )



      อากาศอันร้อนแล้งขนาดหนัก  ฝุ่นสีแดงฟุ๊งกระจายไปกับสายลม  ลมบ้าหมูลูกเล็กๆหมุนวนเป็นเกลียว  มันดูดฝุ่นที่ผืนดินขึ้นสู่เบื้องบนวนเป็นเกลียว  แล้วสลายวับลับไปกับอากาศอันว่างเปล่าเวิ้งว้างอันไร้จุดหมาย  เปลวแดดยามต้นบ่ายส่งประกายยิบยับจนแสบตา  รถกระบะดัดแปลงขนเศษไม้เหลือทิ้งในป่า  วิ่งผ่านหน้าผมไปหลายเที่ยวแล้ว  มันวิ่งผ่านทีนึง ฝุ่นบนถนนที่ละเอียดเป็นอณูเหมือนแป้งก็ฟุ๊งปลิวปรายทีนึง  ขนมข้าวพองชิ้นใหญ่ราคาแค่บาทเดียว  ถูกผมชบเคี้ยวแกล้มเบียร์สิงห์ขวดใหญ่เย็นเจี๊ยบ  จากถังนํ้าแข็งก้อนหรือนํ้าแข็งมือผสมแกลบดิบ   ในม่านตาของผมที่มองผ่านแว่น"เรย์แบนด์ " เมื่อเหลือบมองนาฬิกาข้อมือมันระบุว่าบ่ายโมงครึ่งแล้ว   ผมมานั่งรอสหายต่างวัยที่ร้านค้าแบบเพิงหมาเแหงนที่บ้าน"หนองคอก"อำเภอท่าตะเกียบเมืองแปดริ้ว  นานจนรากงอกแล้ว 


     มองฝ่าเปลวแดดเบื้องหน้าไปทางทิสตะวันออก  ผมแลเห็นรถแบ๊คโฮและรถบรรทุกดินมากมาย  กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น  ขณะนั้นอ่างเก็บน้ำ"คลองสียัด"กำลังถูกสร้างขึ้น  มองเลยขึ้นไปด้านหลังอ่างเก็บนํ้าสียัดคือ"เขากา"เด่นเป็นสง่ามายาวนาน  ได้ยินได้ฟังมานานนมว่า ภูเขาแห่งนี้มีศาลเจ้าพ่อที่ศักดิ์สิทธิ์นักชื่อ"เจ้าพ่อเขากา" นักท่องป่ารุ่นพี่รุ่นพ่อของผมเล่าว่า  ป่าบริเวณนี้เคยเป็นป่าดิบคงทึบ แม้จะผ่านการสัมปทานป่าไม้มาแล้วในช่วงยุคของพวกเขา  ความดิบกันดารโหดร้ายของป่าลึกสมัยนั้น  มันคือเสน่ห์อย่างมหาวายร้ายของคนหนุ่มผู้รักการผจญภัยทั้งหลาย  มีทั้งถูกฝังร่างอันไร้วิญญาณไว้ในป่า  มีทั้งรอดตายออกมาจากป่า แต่จิตใจและร่างกายไม่สมประกอบเสียแล้ว  และมีทั้งผู้รอดปลอดภัยได้กลับบ้านอย่างแคล้วคลาด  ภายในไม่ช้าก็กลับโหยหาป่าลึกดงดิบอีกทุกครั้ง  นี่แหละคือเสน่ห์ของป่าลึกดงดิบล่ะ  เรื่องแบบนี้...ใครไม่เจอกับตัวเอง  ไม่มีทางรู้อย่างเด็ดขาดครับ


      เสียงมอเตอร์คาร์ของพี่ยุ่นแห่งแดนซามูไร" Honda CB 750" ส่งเสียงแปร๊นๆมาจากทางทิศใต้...สหายต่างวัยของผมปรากฏกายแล้ว   พวกมาจอดพรืดอยู่ตรงหน้าผมอย่างฉับพลัน  ฝุนฟุ๊งกระจายจนทั่วร้านค้าเพิงหมาแหงน  แม่ค้าวัยสาวใหญ่อ้วนฉุจนก้อนเนื้อส่วนเกินแทบทะลักผ้าถุง หล่อนใช้มือปัดป่ายไปมาไล่ฝุ่นฟุ๊งเบื้องหน้าอย่างชุลมุนชุลเก  พลางบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นัก 

     " มานานรึยังแป๊ะ?"

     สหายต่างวัยตัวผอมโกร่งวัยสี่สิบเศษทักทายผม  ผิวกายของเขาคล้ายคนผิวขาวแต่กรำแดดลมจนคลํ้าเข้มดูเป็นแมนในสายตาของสาวบางคน  ชายผู้นี้เป็นอดีตนักเรียนนอกฟิลิปปินส์  เขาเคยพาผมยํ่าไพรในป่าแถบนี้เมื่อหลายปีก่อน  เขาชื่อ "ประเสริฐ แซ่ตั้ง"  ชายผู้ยอมทิ้งอุดมการณ์ทั้งสิ้น  เพราะมาตกหลุมรักสาวบ้านป่าในแถบนี้  

       " อั๊ว มาได้สองชั่วโมงแล้ว  หมดเบียร์ไปสองขวดแล้ว  นี่... หากอีเจ๊นี่สาวกว่านี้หน่อย  อั๊วคงปลํ้าทำเมียแล้ว"

       ผมตอบคำถามของเขา  พร้อมหยอดมุขตลกๆ เพื่อผ่อนคลายอากาศที่ร้อนชวนตับแลบในเวลานี้  จนเขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี  ใบหน้าของเขาที่แดงกรํ่ากลับแดงยิ่งขึ้น  เมื่อสบอารมณ์ในมุขตลกของผม   

      " โทษที...เมื่อคืนอั๊วดื่มหนักไปหน่อย  กว่าจะตื่นก็ล่วงเข้าบ่ายแล้ว  นี่ดีนะ...ที่แม่อีหนูปลุกซ๊ะก่อน  ม่ายงั๊น ลื๊อคงรออั๊วรากงอกแน่"

      ผมลอบพินิจใบหน้าและท่าทางของเขา  พร้อมหัวเราะตามเขาอย่างฝืนๆด้วยมารยาท  เพื่อให้บทสนทนาอันราบรื่นคงไว้  โธ่! คนที่ไม่ชอบคอยใครอย่างผม  ไอ้เรื่องการไม่ตรงเวลานั้น  ผมล่ะเบื่อจริงๆเชียว  เจอมาทั้งเจ็กทั้งไทยจนเหม็นเบื่อเชียวแหละคุณเอ๋ย  แต่ประเด็นมันคือว่า  อากู๋ของผมท่านนี้  คงดื่มมาไม่น้อยเชียวล่ะ  กลิ่นเหล้าหึ่งมันฟ้องชัดเจนเหลือเกิน  ก่อนมาพบกับผมนี่  พวกคงดื่มมาหนักพอควรแล้วแน่นอน 

       "     No problem ไม่มีปัญหา ๆ  ว่าแต่ลื๊อไม่มานั่งดื่มเบียร์กับอั๊วก่อนหรือ ? รอให้แดดมันจางเสียก่อน  แล้วค่อยออกเดินทางกัน   "

      " ไม่ได้ ๆ  ทางโน้นเค้าเตรียมทำกับข้าวป่าๆรอลื๊อไว้แล้ว  หากชักช้างุ่มง่าม เดี๋ยวเขาจะเสียนํ้าใจเปล่าๆ  ลื้อขับรถตามอั๊วไปบ้านหลังใหม่ของอั๊วเลย  เร็วเหอะว่ะ "

     ว่าแล้ว...พวกก็หันมอเตอร์ไซค์คันเก่าบุโรทั่ง  หันกลับทางเก่าที่พวกจากมาทันที  จนผมต้องรีบควักเงินจ่ายค่าเบียร์แทบไม่ทัน  โตโยต้ากระบะคันใหม่ของผม  เร่งห้อตะบึงตามฮอนด้าแมงกาไซค์รุ่นพระเจ้าเหาไปติดๆจนฝุ่นตลบไปทั้งถนนดินลูกรังสีแดง  ?  


      ระหว่างสองข้างทางที่ผมขับรถตามแมงกาไซค์ของสหายต่างวัยมานั้น  มันเป็นไร่มันสำปะหลังสลับไปกับป่าซากและป่าดิบแล้ง  ต้นยางใหญ่สีเทา ยืนต้นหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอยู่ข้างทาง  บนยอดที่แทบไร้ใบของมัน  ปรากฏกล้วยไม้ที่ไร้ค่าเช่น"เอื้องกระเป๋าปิด" เติบโตขึ้นอย่างแร้นแค้นเงียบเหงาสะลึมสะลือ  คล้ายเฝ้ารอวันสิ้นสูญพันธุ์  กลิ่นดินใหม่ที่ถูกรถแทร็กเตอร์ไถพรวนปะทะจมูกของผม  มันล่องลอยมาจากข้างถนน  ผสมกับดินฝุ่นที่รถผมเหยียบยํ่าตะกุยตะกาย  ต้นไม้ใบอับเฉาบนภูเขาเตี้ยๆเบื้องหน้า  แลดูแห้งแล้งหม่นหมองเพราะขาดนํ้าในฤดูร้อนแล้งอันมหากาฬเช่นครั้งนี้    เพียงไม่ถึงห้าปีที่ผมเคยมาเที่ยวท่องป่าแถบนี้   มันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก  ภูเขาหลายแห่งที่ผมเคยมานอนฟังเสียงป่าร้องเพลง  มาบัดนี้...ไม้ใหญ่ทั้งหลายพลันสูญหายไปจนแทบสิ้น  "เขาพริก" เป็นภูเขารอยต่อระหว่างเมืองชลบุรีกับเมืองแปดริ้วฉะเชิงเทรา  ผมเห็นร่องรอยการรุกป่าของชาวบ้านแทบตลอดเส้นทาง  "มันสำปะหลัง" พืขเศรษฐกิจอันร้ายกาจ   ป่าใหม่ๆที่เคยสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารมากมายหนักหนา  ไส้เดือนตัวโตเท่านิ้วก้อย  จะเหลือเพียงตัวเท่าไส้เดือนผอมแห้งเช่นในปัจจุบันนี้ทันที  เพียงปลูกมันสำปะหลังไม่เกินสามสี่ปี  ดินนั้นกลับพลันเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ     มันสำปะหลังและต้นยูคาลิปตัส  เป็นพืชและไม้เศรษฐกิจที่น่าหวั่นเกรงเอามากๆ


     บ้านไม้ยกพื้นสูงจนผมต้องแหงนคอมอง   หลังคาสังกะสีกลางเก่ากลางใหม่สะท้อนกับเปลวแดดยามบ่ายระยิบระยับแสบตา   ตามชายคาและขอบรั้วที่นอกชานของบ้านในป่าหลังนี้  ถูกประดับประดาไว้ด้วยกล้วยไม้ป่าสารพัดชนิด  พวกมันถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบ  ด้วยรสนิยมชั้นสูงอย่างคนมีอารมณ์อันสุนทรีย์ของเจ้าบ้าน   หมาบ้านสามสี่ตัวแสดงความดีใจเมื่อเห็นรถของเรา  ซากหนังหมีควายผืนใหญ่ซึ่งถูกแขวนไว้กลางลานบ้าน  มันแกว่งไกวไปมาตามกระแสลม  เพียงแค่เหลือบมองผมก็ทราบว่า  หากเจ้าของซากยังมีชีวิตอยู่  ความใหญ่โตมโหราฬของมันคงน่าสะพรึงใจเป็นแน่แท้  หากเราเดินไปจ๊ะเอ๋กับมันกลางป่าเข้า  สัตว์ที่คาดเดาอารมณ์ได้ยากยิ่ง  ก็คือหมีควายนี่แหละท่านเอ๋ย  ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวพอสมควรเกี่ยวกับ"หมีควาย"  แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงแต่เพียง"ลูกหมีควาย"ที่ตัวเล็กๆยังไม่อดนมเท่านั้น  พรานใหญ่หลายคนกล่าวตรงกันว่า  ห้ามนำมาเลี้ยงโดยเด็ดขาด  อีตอนมันยังเล็กๆมันก็น่ารักดีอยู่หรอก  แต่ถึงคราวที่มันเติบโตจนเข้าวัยเจริญพันธุ์นี่สิ  อารมณ์ธรรมชาติมันเรียกร้อง มันตบเจ้าของที่เลี้ยงมันมาแต่น้อยจนใบหน้าหายไปทั้งแถบมาแล้ว  พรานไพรใจหาญบางคนถึงกับยิงลูกหมีควายทิ้ง  เพื่อตัดปัญหาทั้งปวง  จะปล่อยทิ้งไว้กลางป่าก็คงไม่แคล้วถูกเสือหรือหมาไนกินจนต้องตายอย่างทรมานแน่นอน แต่ไอ้ครั้นจะอุ้มกลับบ้านนำมาเลี้ยง  ก็กลัวว่าตนเองจะตายเพราะลูกหมีเป็นแน่แท้ทีเดียวเชียว   อย่างที่ผมกล่าวไว้นั่นแหละ  


     บ้านกลางป่าของอากู๋  ถูกล้อมรอบด้วยต้นตะเคียนขนาดใหญ่หลายสิบต้น   ผมก็ไม่ทราบว่าแกคิดยังไง  ใจแกถึงหาญกล้ามาปลูกบ้านในดงตะเคียน  แกเล่าว่า...แกไม่เชื่อเรื่องผีเรื่องสาง  ดังนั้นแกจึงไม่กังวลว่านางตะเคียนจะมาแผลงฤทธิ์เล่นงานแก  ประมาณว่า ต่างคนต่างอยู่ไม่เบียดเบียนกัน  มันก็แค่นี้เท่านั้น   ด้านซ้ายมือจรดด้านหลังบ้าน  เป็นคลองขนาดใหญ่ที่นํ้าไม่เคยแห้งเลยสักปี  เลยคลองไปไม่ถึงสิบห้าเมตรก็คือแปลงนาข้าวหลายไร่  ซึ่งอากู๋เล่าให้ผมฟังว่า  แกต้องต่อสู้กับหมูป่าและช้างป่าบ่อยครั้ง  อีตอนข้าวใกล้สุก  นี่ก็เป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่ของชาวบ้านป่าทั้งหลาย  การมาเยือนบ้านของแกในครั้งนี้  จะว่าไปแล้ว...แกให้ผมมายิงหมูป่านั่นเอง   จะว่ากันให้ถูกต้องที่สุดคือ  แกต้องการอาวุธปืนที่ทรงพลังเข่น"ไรเฟิล"ของผมนี่แหละ  ลำพังปืนลูกซองของแกนั้น  มันไม่สามารถล้มไอ้หนังหนาหุ่นเหมือถังแก๊สจ่าฝูงได้นั่นเอง  แกว่าของแกอย่างนั้น   


     ดวงตะวันเริ่มจะลาลับสันเขาพริกเต็มทีแล้ว   ไฟกองใหญ่ไล่ยุงป่าเริ่มสว่างไสวในยามโพล้เพล้  แมลงป่ากรีดปีกรีดเสียงจนลั่นป่า  พวกมันเป็นนักดนตรีขับกล่อมผืนพงไพร ให้มีสีสรรหรรษามาช้านานแล้ว  บรั่นดีไทยยี่ห้อดังที่ผมนำติดตัวมา  พร้อมผัดเผ็ดเนื้อเก้งและต้มยำหมูป่าหมดไปค่อนหม้อแล้ว  ผมอดแอบชื่นชมในฝีมือแม่บ้านของอากู๋ไม่ได้  นี่ถ้าไปเปิดร้านขายอาหารป่าคงดังระเบิดระเบ้อแน่นอน  

     " หมดขวดนี้  อั๊วจะพาลื๊อไปดูห้างที่อั๊วผูกไว้สำหรับลื๊อคืนนี้ "

     กู๋พูดด้วยเสียงอ้อแอ้คล้ายคนลิ้นพันกัน  พร้อมชี้ไปที่ขวดบรั่นดีที่พร่องไปเยอะแล้ว  เป็นทำนองเตือนผมให้เตรียมตัวเผด็จศึกไอ้ฝูงหมูป่าจอมวายร้ายทั้งหลาย  ผมมองแกแล้วเกิดคำถามขึ้นในใจ  สภาพของแกเวลานี้  ดูแล้วว่าแกจะพาผมเดินไปถึงห้างยิงสัตว์ไหวไม๊หนอ? ผมไม่ค่อยเชื่อใจคนเมาสักเท่าใดนัก  เพราะมันมักล้มเหลวมากกว่าผลสำเร็จ  

     " ลื๊อชี้ทางและระบุพิกัดให้อั๊วก็ได้  เดี๋ยวอั๊วไปเอง "

     ผมแจ้งความประสงค์ให้สหายต่างวัยทราบ  พร้อมกับฉีกเนื้อเค็มเข้าปาก

     " ได้ไงล่ะ! พวกมาช่วยทั้งที  จะปล่อยให้เดินดุ่มสุ่มหาห้างได้ไงล่ะ  คืนนี้เราแยกกันนั่งยิง  อั๊วจะเดินไปส่งลื๊อทางทิศใต้  ส่วนอั๊วจะไปนั่งยิงทางทิศเหนือ   พอเช้าเราค่อยมาเจอกันที่นี่  เข้าใจ๋ "

     เสียงสหายต่างวัยอธิบายแผนการอย่างหยาบๆ

     " เอ้า ว่าไงว่าตามกัน  นี่จะคํ่าแล้วเราออกเดินทางกันเลยดีกว่า "

     ผมรวบรัดตัดตอน  เพราะดูอาการของเจ้าถิ่นแล้ว  ไม่รู้ว่าจะล้มพับหลับผลอยไปตอนไหนก็ไม่อาจรูุ้ได้

     

     เราสองคนพากันเดินดุ่มๆเงียบๆข้ามสะพานไม้ไผ่ที่พาดข้ามคลอง  แปลงนาข้าวที่ยังไม่ออกรวงทอดยาวไปจนเกือบชิดขอบชายป่า  นกป่าฝูงใหญ่บินเฉียงๆอยู่เหนือหัวของเรา  เพียงครู่เดียวเราก็มาถึงขอบป่าที่ทึบทะมึน   ผมเหลียวมองไปทางทิศตะวันตกด้านขวามือ  ดวงสุริยาก็ลับหายไปบนเขาพริกแล้ว  ชะมดเช็ดตัวหนึ่งเกาะนิ่งอยู่บนกิ่งขนุนป่า  มันมองเราอยู่นิ่งๆคล้ายกลัวเราเห็นมัน   สหายต่างวัยหยิบไฟฉายขนาดห้าท่อนส่องทาง  เพียงไม่เกินสิบนาทีเราก็พากันมายืนอยู่ใต้ห้างแล้ว  อากู๋สหายต่างวัยทำท่าภาษาใบ้ให้ผมขึ้นห้างได้แล้ว  ส่วนตัวของแกเองก็เดินหายลับไปอีกทางหนึ่ง  ซึ่งเป็นห้างของแกตามแผนที่วางไว้   

     

     ผมขยับตัวไปมาเพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของห้างกลางเก่ากลางใหม่นี้   นาฬิกาข้อมือระบุเวลาหกโมงเย็นเศษๆ  มองท้องฟ้าลอดใบไม้ปรากฏยังสว่างอยู่พอควร  แต่พอมองป่ารอบตัวมันเกือบมองอะไรไม่เห็นแล้ว  ผมหยิบไฟฉายมาเปิดเช็คดูความพร้อมของมัน   ไรเฟิล วินเชสเตอร์ .375 ปืนคู่มือจากอังกฤษพร้อมใช้  เมื่อผมนำมาตรวจเช็คอีกครั้ง  กระติกนํ้าถูกวางไว้ข้างตัว  เนื้อเค็มถุงเล็กๆในเป้หลังเอาไว้เผื่อหิวยามดึก  ผมเอนกายพิงลำต้นประดู่ที่ผูกห้างไว้  สายตาก็สาดส่ายฝ่าความมืดรอบกายออกไป  ผมนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของป่า   กำลังนึกอยู่ว่า ป่านนี้สหายต่างวัยเดินไปถึงห้างของแกหรือยัง? ขณะกำลังคิดอะไรต่อมิอะไรอย่างเพลินๆนั้น   ผมแทบสะดุ้งสุดตัว  เสียงปืนลูกซองดังขึ้นไล่ๆกันสามนัด  มันดังใกล้ๆตัวผมเองนี่นา  เสียงมันดังอยู่ใกล้ๆนาข้าวของกู๋สหายต่างวัยของผมนี่   เอ๊ะ! ยังไงกันหว่า !! ? ถ้าเป็นเสียงปืนของอากู๋  มันก็ควรจะดังทางทิศเหนือ  ซึ่งเป็นที่ๆแกนั่งห้างสิ  แต่เสียงปืนมันกลับดังมาทางทิศตะวันตกนี่  หรือประสาทหูของผมเพี๊ยนไปเสียแล้ว ?  ผมนิ่งเงียบใช้สมาธิอย่างเต็มที่  เอียงคอเงี่ยหูคอยฟังสิ่งต่างๆ  เงียบ!!  แมลงป่าที่ส่งเสียงกล่อมไพรอยู่เมื่อครู่  บัดนี้ก็เงียบเสียงสนิทเพราะเสียงปืน   ที่ดังลั่นป่าในขณะนี้  ป่าแตกตั้งแต่หัววันอย่างนี้ หมูป่าหรือสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ  คงยากที่จะออกหากินในป่าแถบนี้แล้ว  การนั่งห้างในคืนนี้เป็นการเสียเวลาเปล่า  ขณะที่ผมกำลังจะตัดสินใจว่าจะเอายังไงดี  เสียงปืนก็ดังมาจากทางทิศเดิมอีกนัดหนึ่ง  ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปสองนาทีแล้วจึงยกไรเฟิลคู่กายยิงขึ้นฟ้าหนึ่งนัด  พอสิ้นเสียงไรเฟิลของผมเพียงอึดลมหายใจ  เสียงปืนลูกซองก็ดังขึ้นหนึ่งนัดทางทิศเดิมเช่นกัน   


     ผมรู้สึกสังหรณ์ใจพิกลอยู่   จึงเก็บข้าวของแล้วปีนลงจากห้างในทันที   ผมเดินฝ่าความมืดย้อนเส้นทางเมื่อขามา  ไฟฉายในมือสอดส่ายไปมาเบื้องหน้าอย่างคิดระแวง  พรานใหญ่รุ่นเก่าๆยํ้านักยํ้าหนาว่า หากไม่จำเป็นจริงๆ  ห้ามเดินในป่าหลังตะวันตกดินเป็นอันขาด  เพียงไม่ถึงสิบนาทีผมก็เดินมาถึงชายขอบของป่าใหญ่  เดินตามรอยเท้าเมื่อขามา  ซึ่งเป็นรอยประทับบนดินฝุ่นลูกรังสีแดงชัดเจน  เพียงผมเดินอ้อมก้อนหินขนาดใหญ่ด้านซ้ายมือมานิดเดียว  แสงจากไฟฉายในมือก็พบกับซากหมูป่าตัวใหญ่  นํ้าหนักตัวของมันคงไม่ตํ่ากว่าเก้าสิบกิโลเป็นแน่   รูกระสุนสองรูที่หน้าผากของมัน  ยังมีเลือดสีแดงหยดอยู่เป็นระยะ   บนพื้นดินยังมีรอยเลือดนองอยู่   ขณะที่ผมกำลังกระสับกระส่ายฉายไฟหาเจ้าของรูกระสุนอยู่นั้น  แสงจากไฟฉายดวงหนึ่งก็พุ่งมากระทบที่ใบหน้าด้านซ้าย  เมื่อผมเหลียวกลับไปมอง  โฟกัสจากดวงไฟฉายนั้นก็เปลี่ยนไปอยู่ที่อื่น  

     " เกือบไปแล้ว  เกือบไปจริงๆว่ะแป๊ะเอ๋ย  "

    เจ้าของดวงไฟฉายดวงนั้น  เขาก็คืออากู๋สหายต่างวัยของผมนั่นเอง  เขานั่งกึ่งนอนแบบคนหมดสภาพ  แผ่นหลังของเขาพิงก้อนหินใหญ่นั้น  ในซอกเหลี่ยมมุมของก้อนหิน  บดบังเขาไว้จากแสงไฟฉายของผม  กางเกงชาวเรือสีดำที่ขาอ่อนด้านซ้ายของเขา  ฉีกขาดเป็นทางยาวหลุดลุ่ยเลอะเศษดิน  ก้อนเนื้อขนาดเท่าฝ่ามือของผู้ใหญ่ฉีกขาดเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเศษดินฝุ่นลูกรังสีแดง  ผมถลาไปที่เขาแล้วส่องไฟฉายตรวจสอบบาดแผลอย่างร้อนใจเต็มที  เศษผ้าจากกางเกงชาวเรือของเขา  ถูกฉีกและทำเป็นเชือกเฉพาะกิจรัดที่เหนือบาดแผลของเขา  สหายต่างวัยก็ใจเด็ดแท้  เขากลํ้ากลืนความเจ็บปวดทั้งปวง  แล้วส่องไฟฉายช่วย  ขณะผมกำลังง่วนอยู่กับบาดแผลของเขา   

     " ถ้าอั๊วไม่อยู่แล้ว  ลื๊ออย่าลืมส่งแม่โขงให้อั๊วด้วยนะ  อ้อ! ลื๊ออย่าลืมส่งรูปโปสเตอร์ของ"เปีย ซาโดร่า ให้อั๊วด้วยล่ะ อั๊วจะได้ไม่เหงา " 

     ในความมืดขณะนั้น...ผมไม่สามารถมองตาของเขาได้   ผมอยากจ้องมองดวงตาของเขาจริงๆ


     สองเดือนต่อมา  ผมกลับมาหาอากู๋สหายต่างวัยอีกครั้ง   เขาแทบเสียขาไปข้างหนึ่ง  หมอโรงพยาบาลที่เมืองแปดริ้วชี้แจงกับผม  เมื่อคืนที่ผมนำเขาไปส่งถึงตัวเมืองแปดริ้วอย่างทุลักทุเล  ว่าเขาจะกลายเป็นคนกึ่งพิการตลอดไป  รอยแผลที่หมูป่ายักษ์ฝากไว้กับเขา  มันตัดเส้นเอ็นของเขาแทบสิ้น  คืนนั้น...หากผมไม่มีลางสังหรณ์  สหายต่างวัยคงนอนสลบจนเลือดหมดตัว  อยู่กับป่าใกล้ๆบ้านของเขานั่นเอง   พรานแต่ละคนมีความกลัวไม่เหมือนกันเมื่ออยู่ในป่าลึก  พรานบางคนกลัวงูพิษ  บางคนกลัวหมี  บางคนกลัวเสือ  พรานบางคนกลัวช้างป่าเป็นที่สุด  แต่พรานบางคนกลับกลัวหมูป่ายิ่งกว่ากลัวเสือ  หมูป่าที่ไม่ใช่หมูบ้าน  เพราะมันคือหมูป่าที่มีความอึดถึกทน และบ้าระหํ่าต่อคู่ต่อกรของมันยิ่งนัก  มันไม่ยี่หระต่อคมกระสุนหากยิงไม่ถูกจุดสำคัญ   อย่าหวังเชียวว่าใครจะเคี้ยวเนื้อหนังมันได้โดยง่าย   พรานป่าในภาคตะวันออกสมัยผมเที่ยวป่าใหม่ๆ  ก็เมื่อเกือบสี่สิบปีที่ผ่านมานี่แหละ  ต่างเป็นผีเฝ้าป่าจนนับไม่ถ้วนเพราะหมูที่ไม่หมูนี่แหละ  

     


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น