เรื่องสั้นเที่ยวป่า ตอน พรานหมูป่า ( พ.ศ. 2535 - 2538 )
อากาศอันร้อนแล้งขนาดหนัก ฝุ่นสีแดงฟุ๊งกระจายไปกับสายลม ลมบ้าหมูลูกเล็กๆหมุนวนเป็นเกลียว มันดูดฝุ่นที่ผืนดินขึ้นสู่เบื้องบนวนเป็นเกลียว แล้วสลายวับลับไปกับอากาศอันว่างเปล่าเวิ้งว้างอันไร้จุดหมาย เปลวแดดยามต้นบ่ายส่งประกายยิบยับจนแสบตา รถกระบะดัดแปลงขนเศษไม้เหลือทิ้งในป่า วิ่งผ่านหน้าผมไปหลายเที่ยวแล้ว มันวิ่งผ่านทีนึง ฝุ่นบนถนนที่ละเอียดเป็นอณูเหมือนแป้งก็ฟุ๊งปลิวปรายทีนึง ขนมข้าวพองชิ้นใหญ่ราคาแค่บาทเดียว ถูกผมชบเคี้ยวแกล้มเบียร์สิงห์ขวดใหญ่เย็นเจี๊ยบ จากถังนํ้าแข็งก้อนหรือนํ้าแข็งมือผสมแกลบดิบ ในม่านตาของผมที่มองผ่านแว่น"เรย์แบนด์ " เมื่อเหลือบมองนาฬิกาข้อมือมันระบุว่าบ่ายโมงครึ่งแล้ว ผมมานั่งรอสหายต่างวัยที่ร้านค้าแบบเพิงหมาเแหงนที่บ้าน"หนองคอก"อำเภอท่าตะเกียบเมืองแปดริ้ว นานจนรากงอกแล้ว
มองฝ่าเปลวแดดเบื้องหน้าไปทางทิสตะวันออก ผมแลเห็นรถแบ๊คโฮและรถบรรทุกดินมากมาย กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ขณะนั้นอ่างเก็บน้ำ"คลองสียัด"กำลังถูกสร้างขึ้น มองเลยขึ้นไปด้านหลังอ่างเก็บนํ้าสียัดคือ"เขากา"เด่นเป็นสง่ามายาวนาน ได้ยินได้ฟังมานานนมว่า ภูเขาแห่งนี้มีศาลเจ้าพ่อที่ศักดิ์สิทธิ์นักชื่อ"เจ้าพ่อเขากา" นักท่องป่ารุ่นพี่รุ่นพ่อของผมเล่าว่า ป่าบริเวณนี้เคยเป็นป่าดิบคงทึบ แม้จะผ่านการสัมปทานป่าไม้มาแล้วในช่วงยุคของพวกเขา ความดิบกันดารโหดร้ายของป่าลึกสมัยนั้น มันคือเสน่ห์อย่างมหาวายร้ายของคนหนุ่มผู้รักการผจญภัยทั้งหลาย มีทั้งถูกฝังร่างอันไร้วิญญาณไว้ในป่า มีทั้งรอดตายออกมาจากป่า แต่จิตใจและร่างกายไม่สมประกอบเสียแล้ว และมีทั้งผู้รอดปลอดภัยได้กลับบ้านอย่างแคล้วคลาด ภายในไม่ช้าก็กลับโหยหาป่าลึกดงดิบอีกทุกครั้ง นี่แหละคือเสน่ห์ของป่าลึกดงดิบล่ะ เรื่องแบบนี้...ใครไม่เจอกับตัวเอง ไม่มีทางรู้อย่างเด็ดขาดครับ
เสียงมอเตอร์คาร์ของพี่ยุ่นแห่งแดนซามูไร" Honda CB 750" ส่งเสียงแปร๊นๆมาจากทางทิศใต้...สหายต่างวัยของผมปรากฏกายแล้ว พวกมาจอดพรืดอยู่ตรงหน้าผมอย่างฉับพลัน ฝุนฟุ๊งกระจายจนทั่วร้านค้าเพิงหมาแหงน แม่ค้าวัยสาวใหญ่อ้วนฉุจนก้อนเนื้อส่วนเกินแทบทะลักผ้าถุง หล่อนใช้มือปัดป่ายไปมาไล่ฝุ่นฟุ๊งเบื้องหน้าอย่างชุลมุนชุลเก พลางบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นัก
" มานานรึยังแป๊ะ?"
สหายต่างวัยตัวผอมโกร่งวัยสี่สิบเศษทักทายผม ผิวกายของเขาคล้ายคนผิวขาวแต่กรำแดดลมจนคลํ้าเข้มดูเป็นแมนในสายตาของสาวบางคน ชายผู้นี้เป็นอดีตนักเรียนนอกฟิลิปปินส์ เขาเคยพาผมยํ่าไพรในป่าแถบนี้เมื่อหลายปีก่อน เขาชื่อ "ประเสริฐ แซ่ตั้ง" ชายผู้ยอมทิ้งอุดมการณ์ทั้งสิ้น เพราะมาตกหลุมรักสาวบ้านป่าในแถบนี้
" อั๊ว มาได้สองชั่วโมงแล้ว หมดเบียร์ไปสองขวดแล้ว นี่... หากอีเจ๊นี่สาวกว่านี้หน่อย อั๊วคงปลํ้าทำเมียแล้ว"
ผมตอบคำถามของเขา พร้อมหยอดมุขตลกๆ เพื่อผ่อนคลายอากาศที่ร้อนชวนตับแลบในเวลานี้ จนเขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าของเขาที่แดงกรํ่ากลับแดงยิ่งขึ้น เมื่อสบอารมณ์ในมุขตลกของผม
" โทษที...เมื่อคืนอั๊วดื่มหนักไปหน่อย กว่าจะตื่นก็ล่วงเข้าบ่ายแล้ว นี่ดีนะ...ที่แม่อีหนูปลุกซ๊ะก่อน ม่ายงั๊น ลื๊อคงรออั๊วรากงอกแน่"
ผมลอบพินิจใบหน้าและท่าทางของเขา พร้อมหัวเราะตามเขาอย่างฝืนๆด้วยมารยาท เพื่อให้บทสนทนาอันราบรื่นคงไว้ โธ่! คนที่ไม่ชอบคอยใครอย่างผม ไอ้เรื่องการไม่ตรงเวลานั้น ผมล่ะเบื่อจริงๆเชียว เจอมาทั้งเจ็กทั้งไทยจนเหม็นเบื่อเชียวแหละคุณเอ๋ย แต่ประเด็นมันคือว่า อากู๋ของผมท่านนี้ คงดื่มมาไม่น้อยเชียวล่ะ กลิ่นเหล้าหึ่งมันฟ้องชัดเจนเหลือเกิน ก่อนมาพบกับผมนี่ พวกคงดื่มมาหนักพอควรแล้วแน่นอน
" No problem ไม่มีปัญหา ๆ ว่าแต่ลื๊อไม่มานั่งดื่มเบียร์กับอั๊วก่อนหรือ ? รอให้แดดมันจางเสียก่อน แล้วค่อยออกเดินทางกัน "
" ไม่ได้ ๆ ทางโน้นเค้าเตรียมทำกับข้าวป่าๆรอลื๊อไว้แล้ว หากชักช้างุ่มง่าม เดี๋ยวเขาจะเสียนํ้าใจเปล่าๆ ลื้อขับรถตามอั๊วไปบ้านหลังใหม่ของอั๊วเลย เร็วเหอะว่ะ "
ว่าแล้ว...พวกก็หันมอเตอร์ไซค์คันเก่าบุโรทั่ง หันกลับทางเก่าที่พวกจากมาทันที จนผมต้องรีบควักเงินจ่ายค่าเบียร์แทบไม่ทัน โตโยต้ากระบะคันใหม่ของผม เร่งห้อตะบึงตามฮอนด้าแมงกาไซค์รุ่นพระเจ้าเหาไปติดๆจนฝุ่นตลบไปทั้งถนนดินลูกรังสีแดง ?
ระหว่างสองข้างทางที่ผมขับรถตามแมงกาไซค์ของสหายต่างวัยมานั้น มันเป็นไร่มันสำปะหลังสลับไปกับป่าซากและป่าดิบแล้ง ต้นยางใหญ่สีเทา ยืนต้นหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอยู่ข้างทาง บนยอดที่แทบไร้ใบของมัน ปรากฏกล้วยไม้ที่ไร้ค่าเช่น"เอื้องกระเป๋าปิด" เติบโตขึ้นอย่างแร้นแค้นเงียบเหงาสะลึมสะลือ คล้ายเฝ้ารอวันสิ้นสูญพันธุ์ กลิ่นดินใหม่ที่ถูกรถแทร็กเตอร์ไถพรวนปะทะจมูกของผม มันล่องลอยมาจากข้างถนน ผสมกับดินฝุ่นที่รถผมเหยียบยํ่าตะกุยตะกาย ต้นไม้ใบอับเฉาบนภูเขาเตี้ยๆเบื้องหน้า แลดูแห้งแล้งหม่นหมองเพราะขาดนํ้าในฤดูร้อนแล้งอันมหากาฬเช่นครั้งนี้ เพียงไม่ถึงห้าปีที่ผมเคยมาเที่ยวท่องป่าแถบนี้ มันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ภูเขาหลายแห่งที่ผมเคยมานอนฟังเสียงป่าร้องเพลง มาบัดนี้...ไม้ใหญ่ทั้งหลายพลันสูญหายไปจนแทบสิ้น "เขาพริก" เป็นภูเขารอยต่อระหว่างเมืองชลบุรีกับเมืองแปดริ้วฉะเชิงเทรา ผมเห็นร่องรอยการรุกป่าของชาวบ้านแทบตลอดเส้นทาง "มันสำปะหลัง" พืขเศรษฐกิจอันร้ายกาจ ป่าใหม่ๆที่เคยสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารมากมายหนักหนา ไส้เดือนตัวโตเท่านิ้วก้อย จะเหลือเพียงตัวเท่าไส้เดือนผอมแห้งเช่นในปัจจุบันนี้ทันที เพียงปลูกมันสำปะหลังไม่เกินสามสี่ปี ดินนั้นกลับพลันเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ มันสำปะหลังและต้นยูคาลิปตัส เป็นพืชและไม้เศรษฐกิจที่น่าหวั่นเกรงเอามากๆ
บ้านไม้ยกพื้นสูงจนผมต้องแหงนคอมอง หลังคาสังกะสีกลางเก่ากลางใหม่สะท้อนกับเปลวแดดยามบ่ายระยิบระยับแสบตา ตามชายคาและขอบรั้วที่นอกชานของบ้านในป่าหลังนี้ ถูกประดับประดาไว้ด้วยกล้วยไม้ป่าสารพัดชนิด พวกมันถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้วยรสนิยมชั้นสูงอย่างคนมีอารมณ์อันสุนทรีย์ของเจ้าบ้าน หมาบ้านสามสี่ตัวแสดงความดีใจเมื่อเห็นรถของเรา ซากหนังหมีควายผืนใหญ่ซึ่งถูกแขวนไว้กลางลานบ้าน มันแกว่งไกวไปมาตามกระแสลม เพียงแค่เหลือบมองผมก็ทราบว่า หากเจ้าของซากยังมีชีวิตอยู่ ความใหญ่โตมโหราฬของมันคงน่าสะพรึงใจเป็นแน่แท้ หากเราเดินไปจ๊ะเอ๋กับมันกลางป่าเข้า สัตว์ที่คาดเดาอารมณ์ได้ยากยิ่ง ก็คือหมีควายนี่แหละท่านเอ๋ย ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวพอสมควรเกี่ยวกับ"หมีควาย" แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงแต่เพียง"ลูกหมีควาย"ที่ตัวเล็กๆยังไม่อดนมเท่านั้น พรานใหญ่หลายคนกล่าวตรงกันว่า ห้ามนำมาเลี้ยงโดยเด็ดขาด อีตอนมันยังเล็กๆมันก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่ถึงคราวที่มันเติบโตจนเข้าวัยเจริญพันธุ์นี่สิ อารมณ์ธรรมชาติมันเรียกร้อง มันตบเจ้าของที่เลี้ยงมันมาแต่น้อยจนใบหน้าหายไปทั้งแถบมาแล้ว พรานไพรใจหาญบางคนถึงกับยิงลูกหมีควายทิ้ง เพื่อตัดปัญหาทั้งปวง จะปล่อยทิ้งไว้กลางป่าก็คงไม่แคล้วถูกเสือหรือหมาไนกินจนต้องตายอย่างทรมานแน่นอน แต่ไอ้ครั้นจะอุ้มกลับบ้านนำมาเลี้ยง ก็กลัวว่าตนเองจะตายเพราะลูกหมีเป็นแน่แท้ทีเดียวเชียว อย่างที่ผมกล่าวไว้นั่นแหละ
บ้านกลางป่าของอากู๋ ถูกล้อมรอบด้วยต้นตะเคียนขนาดใหญ่หลายสิบต้น ผมก็ไม่ทราบว่าแกคิดยังไง ใจแกถึงหาญกล้ามาปลูกบ้านในดงตะเคียน แกเล่าว่า...แกไม่เชื่อเรื่องผีเรื่องสาง ดังนั้นแกจึงไม่กังวลว่านางตะเคียนจะมาแผลงฤทธิ์เล่นงานแก ประมาณว่า ต่างคนต่างอยู่ไม่เบียดเบียนกัน มันก็แค่นี้เท่านั้น ด้านซ้ายมือจรดด้านหลังบ้าน เป็นคลองขนาดใหญ่ที่นํ้าไม่เคยแห้งเลยสักปี เลยคลองไปไม่ถึงสิบห้าเมตรก็คือแปลงนาข้าวหลายไร่ ซึ่งอากู๋เล่าให้ผมฟังว่า แกต้องต่อสู้กับหมูป่าและช้างป่าบ่อยครั้ง อีตอนข้าวใกล้สุก นี่ก็เป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่ของชาวบ้านป่าทั้งหลาย การมาเยือนบ้านของแกในครั้งนี้ จะว่าไปแล้ว...แกให้ผมมายิงหมูป่านั่นเอง จะว่ากันให้ถูกต้องที่สุดคือ แกต้องการอาวุธปืนที่ทรงพลังเข่น"ไรเฟิล"ของผมนี่แหละ ลำพังปืนลูกซองของแกนั้น มันไม่สามารถล้มไอ้หนังหนาหุ่นเหมือถังแก๊สจ่าฝูงได้นั่นเอง แกว่าของแกอย่างนั้น
ดวงตะวันเริ่มจะลาลับสันเขาพริกเต็มทีแล้ว ไฟกองใหญ่ไล่ยุงป่าเริ่มสว่างไสวในยามโพล้เพล้ แมลงป่ากรีดปีกรีดเสียงจนลั่นป่า พวกมันเป็นนักดนตรีขับกล่อมผืนพงไพร ให้มีสีสรรหรรษามาช้านานแล้ว บรั่นดีไทยยี่ห้อดังที่ผมนำติดตัวมา พร้อมผัดเผ็ดเนื้อเก้งและต้มยำหมูป่าหมดไปค่อนหม้อแล้ว ผมอดแอบชื่นชมในฝีมือแม่บ้านของอากู๋ไม่ได้ นี่ถ้าไปเปิดร้านขายอาหารป่าคงดังระเบิดระเบ้อแน่นอน
" หมดขวดนี้ อั๊วจะพาลื๊อไปดูห้างที่อั๊วผูกไว้สำหรับลื๊อคืนนี้ "
กู๋พูดด้วยเสียงอ้อแอ้คล้ายคนลิ้นพันกัน พร้อมชี้ไปที่ขวดบรั่นดีที่พร่องไปเยอะแล้ว เป็นทำนองเตือนผมให้เตรียมตัวเผด็จศึกไอ้ฝูงหมูป่าจอมวายร้ายทั้งหลาย ผมมองแกแล้วเกิดคำถามขึ้นในใจ สภาพของแกเวลานี้ ดูแล้วว่าแกจะพาผมเดินไปถึงห้างยิงสัตว์ไหวไม๊หนอ? ผมไม่ค่อยเชื่อใจคนเมาสักเท่าใดนัก เพราะมันมักล้มเหลวมากกว่าผลสำเร็จ
" ลื๊อชี้ทางและระบุพิกัดให้อั๊วก็ได้ เดี๋ยวอั๊วไปเอง "
ผมแจ้งความประสงค์ให้สหายต่างวัยทราบ พร้อมกับฉีกเนื้อเค็มเข้าปาก
" ได้ไงล่ะ! พวกมาช่วยทั้งที จะปล่อยให้เดินดุ่มสุ่มหาห้างได้ไงล่ะ คืนนี้เราแยกกันนั่งยิง อั๊วจะเดินไปส่งลื๊อทางทิศใต้ ส่วนอั๊วจะไปนั่งยิงทางทิศเหนือ พอเช้าเราค่อยมาเจอกันที่นี่ เข้าใจ๋ "
เสียงสหายต่างวัยอธิบายแผนการอย่างหยาบๆ
" เอ้า ว่าไงว่าตามกัน นี่จะคํ่าแล้วเราออกเดินทางกันเลยดีกว่า "
ผมรวบรัดตัดตอน เพราะดูอาการของเจ้าถิ่นแล้ว ไม่รู้ว่าจะล้มพับหลับผลอยไปตอนไหนก็ไม่อาจรูุ้ได้
เราสองคนพากันเดินดุ่มๆเงียบๆข้ามสะพานไม้ไผ่ที่พาดข้ามคลอง แปลงนาข้าวที่ยังไม่ออกรวงทอดยาวไปจนเกือบชิดขอบชายป่า นกป่าฝูงใหญ่บินเฉียงๆอยู่เหนือหัวของเรา เพียงครู่เดียวเราก็มาถึงขอบป่าที่ทึบทะมึน ผมเหลียวมองไปทางทิศตะวันตกด้านขวามือ ดวงสุริยาก็ลับหายไปบนเขาพริกแล้ว ชะมดเช็ดตัวหนึ่งเกาะนิ่งอยู่บนกิ่งขนุนป่า มันมองเราอยู่นิ่งๆคล้ายกลัวเราเห็นมัน สหายต่างวัยหยิบไฟฉายขนาดห้าท่อนส่องทาง เพียงไม่เกินสิบนาทีเราก็พากันมายืนอยู่ใต้ห้างแล้ว อากู๋สหายต่างวัยทำท่าภาษาใบ้ให้ผมขึ้นห้างได้แล้ว ส่วนตัวของแกเองก็เดินหายลับไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นห้างของแกตามแผนที่วางไว้
ผมขยับตัวไปมาเพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของห้างกลางเก่ากลางใหม่นี้ นาฬิกาข้อมือระบุเวลาหกโมงเย็นเศษๆ มองท้องฟ้าลอดใบไม้ปรากฏยังสว่างอยู่พอควร แต่พอมองป่ารอบตัวมันเกือบมองอะไรไม่เห็นแล้ว ผมหยิบไฟฉายมาเปิดเช็คดูความพร้อมของมัน ไรเฟิล วินเชสเตอร์ .375 ปืนคู่มือจากอังกฤษพร้อมใช้ เมื่อผมนำมาตรวจเช็คอีกครั้ง กระติกนํ้าถูกวางไว้ข้างตัว เนื้อเค็มถุงเล็กๆในเป้หลังเอาไว้เผื่อหิวยามดึก ผมเอนกายพิงลำต้นประดู่ที่ผูกห้างไว้ สายตาก็สาดส่ายฝ่าความมืดรอบกายออกไป ผมนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของป่า กำลังนึกอยู่ว่า ป่านนี้สหายต่างวัยเดินไปถึงห้างของแกหรือยัง? ขณะกำลังคิดอะไรต่อมิอะไรอย่างเพลินๆนั้น ผมแทบสะดุ้งสุดตัว เสียงปืนลูกซองดังขึ้นไล่ๆกันสามนัด มันดังใกล้ๆตัวผมเองนี่นา เสียงมันดังอยู่ใกล้ๆนาข้าวของกู๋สหายต่างวัยของผมนี่ เอ๊ะ! ยังไงกันหว่า !! ? ถ้าเป็นเสียงปืนของอากู๋ มันก็ควรจะดังทางทิศเหนือ ซึ่งเป็นที่ๆแกนั่งห้างสิ แต่เสียงปืนมันกลับดังมาทางทิศตะวันตกนี่ หรือประสาทหูของผมเพี๊ยนไปเสียแล้ว ? ผมนิ่งเงียบใช้สมาธิอย่างเต็มที่ เอียงคอเงี่ยหูคอยฟังสิ่งต่างๆ เงียบ!! แมลงป่าที่ส่งเสียงกล่อมไพรอยู่เมื่อครู่ บัดนี้ก็เงียบเสียงสนิทเพราะเสียงปืน ที่ดังลั่นป่าในขณะนี้ ป่าแตกตั้งแต่หัววันอย่างนี้ หมูป่าหรือสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ คงยากที่จะออกหากินในป่าแถบนี้แล้ว การนั่งห้างในคืนนี้เป็นการเสียเวลาเปล่า ขณะที่ผมกำลังจะตัดสินใจว่าจะเอายังไงดี เสียงปืนก็ดังมาจากทางทิศเดิมอีกนัดหนึ่ง ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปสองนาทีแล้วจึงยกไรเฟิลคู่กายยิงขึ้นฟ้าหนึ่งนัด พอสิ้นเสียงไรเฟิลของผมเพียงอึดลมหายใจ เสียงปืนลูกซองก็ดังขึ้นหนึ่งนัดทางทิศเดิมเช่นกัน
ผมรู้สึกสังหรณ์ใจพิกลอยู่ จึงเก็บข้าวของแล้วปีนลงจากห้างในทันที ผมเดินฝ่าความมืดย้อนเส้นทางเมื่อขามา ไฟฉายในมือสอดส่ายไปมาเบื้องหน้าอย่างคิดระแวง พรานใหญ่รุ่นเก่าๆยํ้านักยํ้าหนาว่า หากไม่จำเป็นจริงๆ ห้ามเดินในป่าหลังตะวันตกดินเป็นอันขาด เพียงไม่ถึงสิบนาทีผมก็เดินมาถึงชายขอบของป่าใหญ่ เดินตามรอยเท้าเมื่อขามา ซึ่งเป็นรอยประทับบนดินฝุ่นลูกรังสีแดงชัดเจน เพียงผมเดินอ้อมก้อนหินขนาดใหญ่ด้านซ้ายมือมานิดเดียว แสงจากไฟฉายในมือก็พบกับซากหมูป่าตัวใหญ่ นํ้าหนักตัวของมันคงไม่ตํ่ากว่าเก้าสิบกิโลเป็นแน่ รูกระสุนสองรูที่หน้าผากของมัน ยังมีเลือดสีแดงหยดอยู่เป็นระยะ บนพื้นดินยังมีรอยเลือดนองอยู่ ขณะที่ผมกำลังกระสับกระส่ายฉายไฟหาเจ้าของรูกระสุนอยู่นั้น แสงจากไฟฉายดวงหนึ่งก็พุ่งมากระทบที่ใบหน้าด้านซ้าย เมื่อผมเหลียวกลับไปมอง โฟกัสจากดวงไฟฉายนั้นก็เปลี่ยนไปอยู่ที่อื่น
" เกือบไปแล้ว เกือบไปจริงๆว่ะแป๊ะเอ๋ย "
เจ้าของดวงไฟฉายดวงนั้น เขาก็คืออากู๋สหายต่างวัยของผมนั่นเอง เขานั่งกึ่งนอนแบบคนหมดสภาพ แผ่นหลังของเขาพิงก้อนหินใหญ่นั้น ในซอกเหลี่ยมมุมของก้อนหิน บดบังเขาไว้จากแสงไฟฉายของผม กางเกงชาวเรือสีดำที่ขาอ่อนด้านซ้ายของเขา ฉีกขาดเป็นทางยาวหลุดลุ่ยเลอะเศษดิน ก้อนเนื้อขนาดเท่าฝ่ามือของผู้ใหญ่ฉีกขาดเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเศษดินฝุ่นลูกรังสีแดง ผมถลาไปที่เขาแล้วส่องไฟฉายตรวจสอบบาดแผลอย่างร้อนใจเต็มที เศษผ้าจากกางเกงชาวเรือของเขา ถูกฉีกและทำเป็นเชือกเฉพาะกิจรัดที่เหนือบาดแผลของเขา สหายต่างวัยก็ใจเด็ดแท้ เขากลํ้ากลืนความเจ็บปวดทั้งปวง แล้วส่องไฟฉายช่วย ขณะผมกำลังง่วนอยู่กับบาดแผลของเขา
" ถ้าอั๊วไม่อยู่แล้ว ลื๊ออย่าลืมส่งแม่โขงให้อั๊วด้วยนะ อ้อ! ลื๊ออย่าลืมส่งรูปโปสเตอร์ของ"เปีย ซาโดร่า ให้อั๊วด้วยล่ะ อั๊วจะได้ไม่เหงา "
ในความมืดขณะนั้น...ผมไม่สามารถมองตาของเขาได้ ผมอยากจ้องมองดวงตาของเขาจริงๆ
สองเดือนต่อมา ผมกลับมาหาอากู๋สหายต่างวัยอีกครั้ง เขาแทบเสียขาไปข้างหนึ่ง หมอโรงพยาบาลที่เมืองแปดริ้วชี้แจงกับผม เมื่อคืนที่ผมนำเขาไปส่งถึงตัวเมืองแปดริ้วอย่างทุลักทุเล ว่าเขาจะกลายเป็นคนกึ่งพิการตลอดไป รอยแผลที่หมูป่ายักษ์ฝากไว้กับเขา มันตัดเส้นเอ็นของเขาแทบสิ้น คืนนั้น...หากผมไม่มีลางสังหรณ์ สหายต่างวัยคงนอนสลบจนเลือดหมดตัว อยู่กับป่าใกล้ๆบ้านของเขานั่นเอง พรานแต่ละคนมีความกลัวไม่เหมือนกันเมื่ออยู่ในป่าลึก พรานบางคนกลัวงูพิษ บางคนกลัวหมี บางคนกลัวเสือ พรานบางคนกลัวช้างป่าเป็นที่สุด แต่พรานบางคนกลับกลัวหมูป่ายิ่งกว่ากลัวเสือ หมูป่าที่ไม่ใช่หมูบ้าน เพราะมันคือหมูป่าที่มีความอึดถึกทน และบ้าระหํ่าต่อคู่ต่อกรของมันยิ่งนัก มันไม่ยี่หระต่อคมกระสุนหากยิงไม่ถูกจุดสำคัญ อย่าหวังเชียวว่าใครจะเคี้ยวเนื้อหนังมันได้โดยง่าย พรานป่าในภาคตะวันออกสมัยผมเที่ยวป่าใหม่ๆ ก็เมื่อเกือบสี่สิบปีที่ผ่านมานี่แหละ ต่างเป็นผีเฝ้าป่าจนนับไม่ถ้วนเพราะหมูที่ไม่หมูนี่แหละ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น