คลังบทความของบล็อก

27 กันยายน 2563

ชนเผ่าตาฟ้าแห่งอินโดนีเซีย

 

ชนเผ่าตาฟ้าแห่งอินโดนีเซีย

.

ชนเผ่า Buton คือหนึ่งในชนเผ่าที่มีอยู่หลากหลายในอินโดนีเซีย พวกเขามีถิ่นอาศัยอยู่ที่จังหวัดซูลาเวซีตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Sulawesi) บนเกาะ Buton

.

ในบรรดาชาวเกาะ Buton จะมีกลุ่มคนที่มีความโดดเด่นแตกต่างจากชาวเกาะกลุ่มอื่นๆ นั่นคือการมีตาสีฟ้าสว่างและผิวสีน้ำตาล ที่พบเจอได้ยากท่ามกลางกลุ่มคนอื่นๆ ที่อาศัยที่ในเกาะ

เครดิตข้อมูลจาก  National Geographic Thailand 


   
















20 กันยายน 2563

ความหมายของผู้นำ

 



ซามูไรผู้หนึ่งมีลูกชาย 3 คน
ต่างก็มีความเชี่ยวชาญในเชิงของซามูไร
พอถึงวาระที่ซามูไรผู้พ่อจะต้องมอบตราประจำตระกูล
ให้ลูกชายเพื่อสืบทอดต่อไปนั้น
เขาก็ใช้วิธีทดสอบความสามารถของลูกๆ ทั้ง 3 คน
ซามูไรผู้พ่อคิดวิธีได้แล้วก็เข้าไปนั่งอยู่ในห้อง แล้วหับประตูไว้
ประตูห้องแบบญี่ปุ่นเป็นแบบฉากเลื่อน
และบนประตูแบบฉากเลื่อนนี้เอง
ซามูไรผู้พ่อก็นำเอาหมอนลูกหนึ่งขึ้นไปวางไว้
แล้วแกก็เรียกให้ลูกชายเข้าไปหาทีละคน
ลูกชายคนโตถูกเรียกก่อน
เมื่อเดินไปถึงประตูเลื่อน พอขยับประตู
ก็มองเห็นหมอนอยู่ข้างบน
จึงเอื้อมมือไปหยิบ แล้วเลื่อนประตูเข้าไปหาพ่อ
ซามูไรผู้พ่อสั่งให้เอาหมอนไปไว้ที่เดิม
แล้วให้นั่งรออยู่ในห้อง
ลูกชายคนกลางถูกเรียกเป็นคนต่อไป
เมื่อเดินไปถึงประตูก็เลื่อนประตูเปิด
ทันใดนั้นหมอนก็ตกลงมา
ลูกชายคนกลางรีบรับเอาไว้ทันทีโดยแทบไม่มีเสียงเลย
แล้วจึงเดินเขาไปหาพ่อ
ซามูไรผู้พ่อ จึงสั่งให้เอาหมอนไปวางไว้ที่เดิม
แล้วให้นั่งรออยู่ในห้องเช่นกัน
ลูกชายคนเล็กถูกเรียกเป็นคนสุดท้าย
พอเดินถึงประตูก็เลื่อนเปิดทันที หมอนก็ตกลงมา
แว็บเดียวดาบซามูไรก็ปลิวออกจากฝัก
ในชั่วพริบตา หมอนถูกฟันจนนุ่นปลิวว่อน
แล้วเสียบดาบลงฝักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แทบไม่มีใครเห็นใบดาบซามูไรเลยก็ว่าได้
แล้วลูกชายคนเล็กก็เดินอย่างสง่าและสงบเข้าไปหาพ่อ
ถ้าเป็นท่าน ๆ จะมอบตำแหน่งให้ลูกคนไหน ?
ซามูไรผู้พ่อได้พูดกับลูกทั้งสามว่า
"เจ้าเล็ก เจ้าใช้ดาบได้รวดเร็วดังใจ" เจ้าใช้ใจ
"เจ้ากลาง เจ้ารู้วิธีใช้มือแทนดาบได้" เจ้าใช้มือ
"เจ้าโต เจ้ารอบคอบรู้การควรไม่ควรก่อนทำการทั้งปวงเจ้าใช้หัวหรือปัญญา
ไม่ได้ใช้ดาบเพียงอย่างเดียว
พ่อขอมอบดาบประจำตระกูลให้เจ้า จงปกครองคนในตระกูลแทนพ่อสืบต่อไป"


13 กันยายน 2563

ผงชูรสบ้านป่า

 



   ผู้รู้เคยกล่าวไว้ว่า "เครื่องปรุงรสอาหารที่วิเศษที่สุดคือความหิว"  นี่เป็นความจริงที่สุด  ไม่ทราบว่าผมเป็นคนโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่  เพราะตั้งแต่เริ่มเป็นหนุ่มจนถึงเวลานี้  ที่เส้นผมบนหัวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว  ผมจึงมีความหิวเป็นเครื่องปรุงรสอาหารมาโดยตลอด  การใช้ชีวิตอิสระและแบบลุยๆจนพ่อและแม่ของผมอ่อนใจ  ผมรักอิสระเสรีและการผจญภัยโดยเฉพาะตามป่าดงพงไพร  ป่าใหม่ๆที่ผมไม่เคยย่างเท้าเข้าไป  ในความรู้สึกของผมมันเหมือนเด็กน้อยที่กำลังเปิดกล่องของขวัญ  ใคร่อยากทราบว่าในกล่องมีอะไร ?  การใช้ชีวิตที่ไม่มีกำหนดเวลาตายตัว  ไม่ว่าจะกินหรือจะนอน...ผมไม่อยู่ในวิสัยที่เลือกได้  ท้องของผมจึงมักมีอาการหิวอยู่บ่อยครั้ง  เป็นเรื่องชวนพิศวงอยู่อย่างหนึ่งคือ  อาหารแบบป่าๆหรือแบบบ้านป่ามักมีรสโอชาเลิศกว่าในเมือง  นอกจากความหิวเป็นเหตุให้เกิดความอร่อยแล้ว  มีสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างความอร่อยของอาหารอีกอย่างหนึ่งก็คือ "กัญชา"ครับ   

    ย้อนหลังกลับไปเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว  ใกล้เที่ยงวันนั้น...ที่กระท่อมสูงชายป่าบ้านจันทร์เขมอำเภอแก่งหางแมวเมืองจันทร์  ผมและเพื่อนนักนิยมไพรสะพายปืนยาวออกมาจากป่า  หนึ่งคืนในป่าที่แยกย้ายกันนั่งห้างเพื่อหาเนื้อสำหรับวันนี้  เพื่อนนักนิยมไพรโชคดีที่ได้หมูป่ารุ่นๆมาหนึ่งตัว  ส่วนผมคว้านํ้าเหลวและต้องทนนั่งฟังเสียงบ่างผีร้องโหยหวนอยู่แทบทั้งคืน   กระท่อมสูงชายป่าที่ผมเอ่ยมาตอนต้น  คือบ้านของลุงวันกับป้าแบ๊วผู้เป็นภรรยา  ผมกับผู้อาวุโสผัวเมียมีความสนิทชิดเชี้อกันเป็นอย่างดี  ที่นี่แหละคือร้านอาหารสุดเลิศหรูและเลิศโอชาของผม  ข้าวสวยร้อนๆในหม้อบุบบู้บี้ส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนหิว  ผัดเผ็ดหมูป่าคลุกเคล้าด้วยกัญชาสดๆส่งกลิ่นจนนํ้าลายสอ  ป้าแบ๊วขอตัวไปหุงข้าวหม้อที่สองหลังจากข้าวสวยหม้อแรกเกลี้ยงหม้อ  

     คืนนั้นผมและเพื่อนอาศัยบ้านลุงวันป้าแบ๊ว  เป็นทั้งโรงแรมและภัตตาคารสุดหรู  ตามหมายกำหนดเดิมเราทั้งสองตั้งใจจะมาอาศัยอาหารบ้านลุงวันป้าแบ๊วเพียงมื้อเดียวเท่านั้น  ต่อจากนั้นเราจะเดินลัดป่าไปออกที่ท่าตะเกียบเมืองแปดริ้ว  แต่เป็นเพราะผัดเผ็ดหมูป่าใส่กัญชาฝีมือป้าแบ๊วแท้ๆ  เราทั้งคู่จึงมานอนผึ่งพุงอยู่ที่นี่   ผงชูรสบ้านป่าแบบไทยๆสมควรจะได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ  เรามีของดีอย่างนี้ก็ทำให้มันถูกต้องเสียสิครับ  ไทยทำไทยใช้ไทยเจริญ  อย่าลืมสิครับ    






6 กันยายน 2563

หากคุณเลือกคู่ชีวิตสักคน ?

  หากคุณเลือกคู่ชีวิตสักคน คุณจะเลือกแบบใด ?





                              1. หากคุณเลือก หญิงสาวที่มีหน้าตาสวย คุณก็ต้องยอมรับเรื่องค่าใช้จ่ายของเธอ 





    2. หากคุณเลือก หญิงสาวที่หาเงินเก่ง คุณก็ต้องยอมรับข้อบกพร่องเรื่องความเป็นแม่ศรีเรือนของเธอ






                               3. หากคุณเลือก หญิงสาวที่เป็นแม่บ้าน คุณก็ต้องยอมรับที่เธอหาเงินไม่เก่งนัก






       4. หากคุณเลือก หญิงสาวที่มีหลักการและเหตุผล คุณก็ต้องยอมรับความคิดและความอ่านของเธอ





                  5. หากคุณเลือก หญิงสาวที่เชื่อฟัง คุณก็ต้องยอมรับการมองตัวเองต่ำต้อยของเธอ





                    6. หากคุณเลือก หญิงสาวที่มีความกล้าหาญ คุณก็ต้องยอมรับความหัวดื้อของเธอ







 7. หากคุณเลือก หญิงสาวที่มีความสามารถ คุณก็ต้องยอมรับความเผด็จการและความไร้เหตุผลของเธอ




 สำหรับผม...ผมเลือกข้อ 3 เป็นข้อแรกโดยไม่ต้องใช้ความคิดเลยสักนิด  ในความเป็นจริงที่ผมพบเจอในอดีต  ผมพบแต่คนรักที่ทุกลมหายใจของเธอคืองาน งาน แล้วก็งาน  คุณเธอสอบตกเรื่องวิชาความสัมพันธ์  สุดท้ายชีวิตรักก็ล้มเหลว ขัอ 4 เป็นข้อต่อมาที่ผมเลือกครับ  


โลกใบนี้ไม่มีคนสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ  หญิงสาวที่เพียบพร้อม มีอยู่เพียงในฝัน เท่านั้น!




25 สิงหาคม 2563

ละครทีวีในอดีตเรื่อง เกล็ดมรกต 2518

 




ละครทีวีในอดีตเรื่อง เกล็ดมรกต   ขับร้องโดยคุณ  ประภาศรี ศรีคําภา  คำร้อง ทำนองโดยคุณ  มนัส  ปิติสานต์ ออกฉายทางช่อง 7 หลังข่าวสองทุ่มพระราชสำนักเมื่อ พ.ศ. 2518 ในยุคทีวีขาวดำตามต่างจังหวัด แต่ในเมืองกรุงฯจะเป็นสีหรือขาวดำหรือไม่นั้น ผมไม่ทราบครับ    




     ผมเป็นนักนิยมไพรมานานตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม  ผมเคยสอบถามเพื่อนนักเดินป่าทั้งหลายและพรานอาชีพหลายท่านว่า  กลัวอะไรที่สุดเมื่ออยู่หรือขณะเดินป่า  คำตอบที่ผมได้รับส่วนมากคือ"งูพิษครับโดยเฉพาะงูจงอาง" 
สำหรับผมนั้นสิ่งที่ผมเกรงและขยาดที่สุดยามเที่ยวป่าไม่ใช่เสือหรืองูจงอาง  โดยเฉพาะเสือโคร่งนั้น...ผมขอพูดอย่างไม่อายว่า  ผมเที่ยวป่าเมืองไทยและรัฐกระเหรี่ยงแดนพม่าเกือบสามสิบปี   ผมไม่เคยพบเสือโคร่งเลยสักตัว  แต่เจ้าสิ่งที่ผมทั้งเกรงและหวาดระแวงที่สุดคือช้างป่าครับ  โดยเฉพาะช้างแม่ลูกอ่อน   ในชีวิตผมเกือบแบนเป็นกล้วยปิ้งอยู่สองสามครั้ง  ครั้งแรกๆที่ผมจำได้น่าจะเป็นป่าในรัฐกะเหรี่ยงแดนพม่า  เมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา  เมื่อครั้งผมและทีมสำรวจเฉพาะกิจ  กำลังเที่ยวเสาะหาเหล็กไหลกัน  ครั้งต่อมาในช่วงเวลาไม่ห่างกันนักที่ป่ารอยต่อระหว่างเมืองแปดริ้วกับเมืองจันทร์  ครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องหาเหล็กไหล  แต่เป็นการเดินหากล้วยไม้ป่าและการพักผ่อนหาที่กินเหล้ากัน  เพื่อนในกลุ่มคนหนี่งปีนต้นไม้เพื่อเก็บกล้วยไม้ชนิดหนึ่ง  ส่วนผมและสมาชิกคนอื่นยืนแหงนคอมองอยู่ด้านล่าง  ขณะนั้นเองเพื่อนบนต้นไม้ส่งสัญญาณด้วยท่าทางประหลาด  ผมกำลังขยับปากจะถาม เพื่อนก็ทำท่าว่าอย่าพูด  พวกเราเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติอะไรสักอย่างขึ้นแล้ว  ทัศนวิสัยของป่ารอบๆตัวก็มองสิ่งใดไม่เห็นสักอย่าง นอกจากต้นไม้แล้วก็ต้นไม้  ขณะพวกเราที่อยู่ด้านล่างกำลังเดินกลับทางเก่านั่นเอง  ไม้ไร่ด้านหนี่งก็ถูกแหวกด้วยช้างป่าตัวมหึมา  ในระยะห่างระหว่างคนกับช้างไม่เกินห้าสิบเมตร  ลูกช้างตัวเท่าตุ่มนํ้าโผล่มาจากป่าอีกด้านหนึ่ง  มันหยุดชะงักเมื่อเห็นพวกเรา  แล้วส่งเสียงร้องพร้อมแกว่งงวงน้อยๆไปมา ด้วยท่าทางคล้ายอยากเล่นกับพวกเรา  ขณะนั้นเสียงป่าถูกแหวกก็พุ่งตรงมาทางพวกเรา  พร้อมกับเสียงดัง"ตุ้บ" ซึ่งเป็นเสียงของเพื่อนที่หล่นลงมาจากต้นไม้ด้วยความกลัวแม่ช้าง  พวกเราต่างโกยแน็บออกจากป่าจุดนั้นทันที  เมื่อออกมาตั้งหลักกันได้และสำรวจตัวเองแล้ว  ปรากฎว่าแต่ละคนต่างได้แผลจากการถูกกิ่งไม้ตีเอาบ้าง  บางคนล้มลุกคลุกคลานหน้าทิ่มดินได้แผลเหวอะหวะ  บ้างเสื้อผ้าขาดรุ่งริ้งเพราะหนามคมเกี่ยวเอา   




        ช้างป่าแม่ลูกอ่อนน่ากลัวกว่าเสือ  เพราะในปัจจุบันเสือเป็นสัตว์ป่าหาพบยากมาก  วิสัยหวงลูกเป็นเรื่องปกติของสัตว์ทั่วไป  แต่ช้างป่าได้เปรียบด้านกายภาพและความคล่องตัวในการจู่โจม  บวกกับช้างเป็นสัตว์ทีฉลาด  กลวิธีทำลายล้างอริจึงเหนือกว่าสัตว์อื่น  ป่ารอยต่อของเมืองจันทร์กับเมืองแปดริ้วเป็นดงช้างที่สามารถพบเห็นได้ไม่ยากนัก  และผมก็ใช้ป่านี้แหละสำหรับเสพสุขกับธรรมชาติ  ในยามเดินป่าหากผมพบมูลช้างที่สดใหม่  ผมต้องระมัดระวังมากกว่าปกติทีเดียว  เหตุและผลที่ผมอ้างมาทั้งหมดนี้  จึงเป็นคำตอบว่าทำไมผมจึงเกรงใจช้างมากกว่าสัตว์อื่นครับ




       ร่ายยาวเรื่องช้างแต่หัวข้อเรื่องงู  งั๊นมาเข้าประเด็นกันเลยครับ   พรานและนักเดินป่าส่วนมากกลัวงูโดยเฉพาะงูจงอาง  ผมเดินป่ามาก็นานพอควรแต่ส่วนมากผมพบแต่งูเหลือมกับงูหลาม  ส่วนงูจงอางผมไม่ค่อยพบเห็นมากนัก  ที่เคยพบเห็นตัวก็ไม่ใหญ่โตมากนัก อาจเป็นเพราะว่าผมชอบเดินป่า( สูง ) ที่สูงกว่าระดับนํ้าทะเลตั้งแต่300-400เมตรขึ้นไปป่าสวยดีครับ  โดยเฉพาะป่าในภาคเหนือของไทย  ผมชอบต้นสนตระกูลสามใบในแถบภาคเหนือมาก  นี่เป็นรสนิยมส่วนตัวครับ  อีกอย่างที่ผมไม่ค่อยพบเจองูจงอางก็เพราะ  ผมพยายามหลบเลี่ยงที่จะเดินในป่าไผ่  โดยเฉพาะในช่วงก่อนและระหว่างฤดูมรสุม   เพราะช่วงฤดูนี้เป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์และทำรังวางไข่ของงูจงอาง  ใบไผ่คือวัสตุสำหรับสร้างรังของพวกมัน   แต่งูใหญ่ที่ผมพบเจอนั้นผมไปเจอที่ป่ากะเหรี่ยงแดนพม่าโน่น  เมื่อครั้งผมและเพื่อนๆ( รุ่นคุณน้าคุณอา ) ออกสำรวจหาเหล็กไหลกัน  ในถํ้าเล็กๆที่แทบต้องมุดเข้าไปทีเดียว  ก้าวแรกที่ผมเข้าไปกลิ่นอับๆของซากสัตว์ฉุนกึกจนต้องชะงัก  สายตาสอดส่ายไปพบกับเจ้าของถํ้าโดยไม่ตั้งใจ  จงอางตัวใหญ่มากขดตัวเป็นสง่าและค่อยๆชูคอขึ้นทีละน้อย  ในความสลัวลางของถํ้ามันจ้องเขม็งมายังผู้บุกรุกอย่างพวกเรา  นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมพบงูจงอางขนาดใหญ่ครับ




21 สิงหาคม 2563

ถล่มดาวดัง สมัคร สุนทรเวช






   ทั้งจรวดยิงรถถัง ระเบิดมือ ปืน ถล่มดาวดัง สมัคร สุนทรเวช! พระ ๒๐ องค์คุ้มครองชีวิต!!
ในช่วงปี ๒๕๑๙-๒๕๒๐ ไม่มีนักการเมืองคนใดจะโด่งดังเป็นพลุเท่ากับนักการเมืองหนุ่มที่ชื่อ #สมัครสุนทรเวช ความเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของนายสมัครในตอนนั้น ถ้าเทียบกับ #นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในตอนนี้ นายสมัครก็ยังมีภาษีกว่าหลายขุม
นายสมัครเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่นเดียวกับนายชวน หลีกภัย และจบพร้อมกันในปี ๒๕๐๕ แต่ทว่านายสมัครเกือบจะไม่ได้รับปริญญา เพราะสภามหาวิทยาลัยลงมติให้ลบชื่อออกจากเป็นนักศึกษา ไม่ยอมให้รับปริญญาทั้งๆที่สอบผ่านแล้ว ในฐานที่ดูหมิ่นก้าวร้าวต่ออธิการบดี แต่ทว่าเป็นการดูหมิ่นก้าวร้าวในข้อเขียนที่ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ในคอลัมน์ที่นายสมัครใช้นามปากกาว่า “นายหมอดี”



เรื่องนี้ทำให้นักหนังสือพิมพ์ทั้งหลายรวมหัวกันต่อสู้เพื่อนายสมัคร จนสภามหาวิทยาลัยยอมกลับมติ ให้ได้รับปริญญาตามสิทธิ์ เลยทำให้ชื่อ สมัคร สุนทรเวช นักศึกษาธรรมดาๆ และนักหนังสือพิมพ์เล็กๆคนหนึ่ง มีชื่อเสียงขึ้นมาทันที
ต่อมาในปี ๒๕๑๑ นายสมัครได้เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์พร้อมกับนายชวน หลีกภัย และลงสมัครเป็นสมาชิกสภาเทศบาลในนามพรรคในปี ๒๕๑๔ ได้รับเลือกตั้งลอยลำ ต่อมาหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๗ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ สมาชิกสภานิติบัญญัติ และได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรของกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๑๘
แม้จะเป็นผู้แทนน้องใหม่ แต่นายสมัครก็อภิปรายในสภาเหมือนกับผู้ชำนาญเวทีที่เป็น ส.ส.มาแล้วหลายสมัย ในการประชุมสภา ถ้าประธานชี้มาที่เขาแล้วบอกว่า “เชิญคุณสมัคร” บรรดา ส.ส.ที่อยู่นอกห้องประชุมหรือในสโมสรรัฐสภาจะรีบเข้ามาในห้องประชุมทันที เพื่อฟังเขาอภิปราย คำอภิปรายของนายสมัครนอกจากจะทำให้เห็นภาพชัดเจน มีข้อมูลหลักฐานเพียบพร้อมแล้ว จังหวะและลีลาของเขายังน่าดูน่าชมไปทุกอย่าง ประชาชนต่างชื่นชมเขาไปทั้งประเทศ



ฉะนั้นเมื่อคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่มี พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้า เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และตั้งนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีฉายา “รัฐบาลหอย” เพราะมีคณะปฏิรูปฯเป็นฝาหอยคุ้มครองให้ นายสมัครซึ่งถือได้ว่ายังเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญที่หลายตนใฝ่ฝันหา ก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ความโด่งดังของเขาประกอบกับท่าทีที่ไม่กลัวใคร ทำให้หลายคนหมั่นไส้ และเป็นที่รู้กันดีในเรื่องปากของนายสมัครที่โผงผางไม่ไว้หน้าใคร ทำให้เขามีศัตรูรอบด้าน แม้ว่านายสมัครจะได้ชื่อว่าเป็นนัการเมืองฝ่ายขวา ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายซ้ายแล้ว ฝ่ายขวาที่ไม่ชอบหน้านายสมัครก็มีอยู่ไม่น้อย ยุคนั้นอยู่ในช่วงของการประกาศกฎอัยการศึก ห้ามการเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ ไม่มีใครกล้าแตะรัฐบาลในฝาหอย แต่ศัตรูของนายสมัครคงไม่ธรรมดาเหมือนกัน จึงกล้าจะเอาชีวิตรัฐมนตรีมหาดไทยที่อยู่ในฝาหอย
เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๒๐ ขณะที่ท่าน ร.ม.ต.มหาดไทยเดินทางไปเปิดสัมนาสันนิบาตเทศบาลที่จังหวัดลำปาง ในตอนค่ำได้ไปออกโทรทัศน์ที่สถานีช่อง ๘ ในรายการ “พบประชาชน” นายสมัครได้ใช้เวลาพูด ๑ ชั่วโมง ๑๕ นาที เน้นถึงการพัฒนาท้องถิ่น ระหว่างที่ออกอากาศนั้นก็มีคนโทรศัพท์มาที่สถานีแสดงอาการหงุดหงิดที่นายสมัครพูดไม่จบเสียที และประชดประชันว่า
“จะพูดกันทั้งคืนหรือไง!!”
ทั้งยังซักถามว่านายสมัครพักที่ไหน จะไปไหนต่อ ซึ่งทางสถานีก็ไม่ได้เฉลียวใจ หลังจบรายการ ได้มีประชาชนมาดักดูคนดังที่หน้าสถานีกลุ่มใหญ่ ท่านรัฐมนตรีขึ้นรถของ พล.ต.ท.ประสงค์ ศักดิ์สุภา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๘ ออกไป โดยมีรถของ นายไสว ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง นางเทียม สุวรรณอัต นายกเทศมนตรี เทศบาลลำปาง และรถของผู้สื่อข่าวตาม
ตามหมายกำหนดการ นายสมัครจะไปร่วมงานขันโตกดินเนอร์ ซึ่งจัดที่โรงเรียนลำปางกัลยาณี เพื่อต้อนรับนายกเทศมนตรี เทศมนตรี และสมาชิกสภาเทศบาลทั่วประเทศ ๔๐๐ คน แต่ พล.ต.ท.ประสงค์ได้รับรายงานว่ามีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นห่างจากสถานีช่อง ๘ ไปราว ๕ กม. จึงบอกท่านรัฐมนตรีว่าจะไปส่งท่านก่อน แล้วจะขอไปตรวจสถานที่เกิดหตุ แต่นายสมัครบอกให้ไปเลย จะไปด้วย



ฉะนั้นเมื่อรถออกจากสถานีช่อง ๘ แทนที่จะเลี้ยวซ้ายตามกำหนดการเดิม จึงเลี้ยวขวา ในทันที่ที่เลี้ยวขวานั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น คนในรถยังเข้าใจว่าอาจเป็นหม้อไฟฟ้าระเบิด พอมีเสียงระเบิดครั้งที่ ๒ จึงเห็นแสงไฟสีส้มปนเขียวสว่างวาบขึ้นที่กำแพงสถานีทีวี ห่างรถไม่ถึง ๑๐ เมตร แรงอัดทำให้รถสะเทือน กระจกแตก และยังมีเสียงปืนดังมาอีก จึงรู้ตัวว่าตกเป็นเป้าโจมตีแล้ว พ.ต.ต.กิติโชติ แสงนิล นายตำรวจติดตาม ที่นั่งอยู่ด้านข้าง จึงกดตัวท่านรัฐมนตรีลงกับพื้นรถแล้วคร่อมร่างนายสมัครไว้ พล.ต.ท.ประสงค์ซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับ ก็โถมทับลงมาอีกคน ได้ยินเสียงท่านรัฐมนตรีบอกว่า
“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ใจเย็นๆ”แล้วสั่งให้คนขับเร่งเครื่องแซงรถวิทยุที่นำหน้าขึ้นไป
ปรากฏว่านายสมัครเพียงถูกเศษกระจกรถที่แขนเท่านั้น แค่ปัดออกก็ไม่มีร่องรอย รีบไปหาแหล่งความปลอดภัยที่โรงพักไว้ก่อน และไม่กล้ากลับไปนอนโรงแรมเอเซียลำปางที่บุ๊คไว้ ต้องไปนอนที่บ้านพัก พล.ต.ท.ประสงค์ ในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค ๘ ตร.จับผู้ต้องหาได้ ๒ คน เป็นจ่าสิบเอก สังกัดกรมผสมที่ ๗ ร.พัน ๔ ลำปาง กับพลทหารสังกัดกองร้อยชาวเขา ท่านรัฐมนตรีมหาดไทยร่วมสอบสวนด้วย แต่ผู้ต้องหาทั้งสองปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ ท่านรัฐมนตรีจึงให้ปล่อยไปทั้งสองคน แต่ให้บันทึกการจับกุมไว้


ตำรวจได้ตรวจที่เกิดเหตุ พบหางจรวด ๒ หาง ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของจรวด เอ็ม.๗๒ สำหรับต่อสู้รถถัง และ ๒๒ น.ของคืนนั้น ร.อ.บุ ทองคำกุล นายทหารนอกราชการ อายุ ๖๕ ปี ก็มาแจ้งว่า มีหัวจรวดที่ยังไม่ระเบิดตกยู่ในบ้านที่อยู่ข้างสถานีช่อง ๘ อีกหัวหนึ่ง 
รุ่งเช้า ตำรวจท้องที่ ตำรวจ ตชด. และทหาร ได้เข้าตรวจที่เกิดเหตุ สันนิษฐานว่าคนร้ายมีไม่เกิน ๓ คน ดักซุ่มอยู่บนฐานชั้นที่ ๒ ของเจดีย์วัดป่ารวก ซึ่งเป็นวัดพม่า มองเห็นรถนายสมัครได้ชัดเจน และอยู่ห่างประมาณ ๒๐๐ เมตร มีก้นบุหรี่กรองทิพย์ตกอยู่เกลื่อน แสดงว่าคนร้ายมาดักรอเป็นชั่วโมงแล้ว และถ้านายสมัครไม่ไปดูสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม ก็ต้องผ่านมาทางเจดีย์นี้ ซึ่งคงไม่รอดแน่
เจ้าหน้าที่พบว่ากระสุนนัดแรกตกที่เพิงขายอาหารของชาวรถ ๔ ล้อเล็ก ห่างจากที่ยิง ๑๔๕ เมตร เคราะห์ดีที่ไม่มีใครอยู่ เพราะเก็บร้านแล้ว นัดที่ ๒ ตกห่างจากรถของรัฐมนตรีมหาดไทย ๑๐ เมตร ห่างจากที่ยิง ๒๐๐ เมตร ถูกกำแพงคอนกรีตของสถานีทีวีเป็นรูกว้าง ๕ นิ้ว ยาว ๑ ฟุต ใกล้ๆกันยังพบหลุมระเบิดกว้าง ๑ คืบ ลึก ๓ นิ้ว ซึ่งเกิดจากระเบิดมือที่ใช้ขว้าง ส่วนลูกที่ ๓ ซึ่งหัวไม่ระบิดตกในบ้านข้างสถานี
แสดงว่า “คนดัง” สมัคร สุนทรเวช ถูกถล่มครั้งนี้ โดนจรวดยิงรถถังเข้าไปถึง ๓ ลูก แถมระเบิดมือและปืนอีก แต่ก็เจ็บน้อยกว่าแมวที่บ้านข่วน ทั้งคนรอบด้านก็ไม่มีใครเป็นอันตรายเลย
พล.ค.สวัสดิ์ สงวนประเทศ ผบ.มทบ.๗ ค่ายสุรศักดิ์มนตรี พร้อมด้วย พ.อ.อรุณ สังขพงษ์ รอง ผบ. และ พ.อ.อรัญ เสนะวงศ์ เสนาธิการ ได้ร่วมกันชี้แจงถึงจรวดแบบ เอ็ม.๗๒ นี้ว่า เป็นปืนต่อสู้รถถัง มีลักษณะเป็นแท่งกลม ยาว ๒ ฟุต เส้นผ่ศูนย์กลาง ๑ นิ้วครึ่ง บรรจุกระสุนเป็นจรวดมาในตัวสำเร็จรูป ใช้ยิงได้ครั้งเดียวเท่านั้น ก่อนยิงต้องดึงส่วนท้ายออกไป ๑ ฟุต ซึ่งจะทำให้ศูนย์หน้าและศูนย์หลังพร้อมไกปืนเด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ผู้ยิงจะต้องใช้มือข้างหนึ่งจับปากกระบอกปืน อีกมือหนึ่งเหนี่ยวไกประทับยิง จรวดกระทบเป้าแล้วจึงระเบิด อเมริกาเป็นผู้ผลิตใช้ในกองทัพ แต่ทาง มทบ.๗ ยังไม่มีใช้ คงเป็นอาวุธเถื่อนที่ลักลอบเข้ามาจากฝั่งลาว และผู้ใช้ต้องมีความชำนาญมาก ซึ่งคงต้องผ่านการรบนอกประเทศมาแล้ว


ขากลับกรุงเทพฯ ตามหมายกำหนดการนายสมัครจะต้องขึ้นเครื่องบินของบริษัทเดินอากาศไทยเช่นเดียวกับขาไป ต้องเปลี่ยนแผนไปใช้ ฮ.ส่งที่สนามบินเชียงใหม่ แล้วขึ้นเครื่องบินตำรวจกลับกรุงเทพฯ แต่กระนั้นนายสมัครก็ไม่ได้แสดงอาการตระหนกตกใจกับเรื่องนี้มากนัก ไม่ได้เพิ่มการอารักขาขึ้นอีก นอกจากแปลกใจและสงสัยว่าเดินทางไปเยี่ยมราษฎรทั่วประเทศมาแล้วไม่เคยมีเรื่อง และพูดซ้ำๆว่า
“ผมอยากรู้นัก เขาทำผมทำไม...ผมทำผิดอะไร?”
เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ นายสมัครได้เดินทางไปที่โรงแรมอินทรา เพื่อเป็นประธานในงานของสมาคมศิษย์เก่าอัสสัมชัญ และได้เล่าเรื่องราวที่รอดตายอย่างปาฏิหาริย์นี้ให้บรรดาศิษย์เก่าฟัง ทั้งยังได้เปิดอกเลื้อโชว์พระที่ห้อยคอไว้ประมาณ ๒๐ องค์ให้ดูด้วย
บุคคลต่างๆได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า การถล่มนายสมัครครั้งนี้ค้องเป็นการเมืองแน่ ทั้งนายสมัครก็มีศัตรูทั้งฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา ต่างมีความเห็นสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกับ พล.อ.ทวิช เสนีย์วงศ์ อดีต รมต.กลาโหม ซึ่งเคยอยู่ทีมเดียวกับนายสมัครเมื่อครั้งลงสมัครรับเลือกตั้งเขตดุสิต เชื่อมั่นว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องการเมือง เพราะนายสมัครไม่ใช่พ่อค้า แต่ก็ไม่ใช่ ผกค.ฝ่ายซ้ายเป็นคนยิง เพราะเหตุเกิดในเมืองย่านชุมชน
“คงเกิดจากบุคคลที่เสียผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่า” พล.อ.ทวิชสรุป
อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องอุกอาจอย่างเอิกเกริก หมายสังหารรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วยอาวุธสงครามร้ายแรง แสดงว่าคนร้ายไม่เกรงกลัวกฎหมายและอำนาจรัฐแม้แต่น้อย แต่ไม่นานเรื่องนี้ก็เงียบหายกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง ปล่อยให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานาจนเลิกวิจารณ์กันไปเอง เปลี่ยนไปวิจารณ์เรื่องอื่นที่มีเรื่องอึมครึมประเภทนี้ให้พูดถึงกันอีกมาก ในยามที่ประเทศปกคลุมไปด้วยอำนาจมืด!

ที่มา : เรื่องเก่าเล่าสนุก/18 มุงกฎ เล่าเรื่อง
ที่มาของข้อมูลจากเพจ นักเลงโต



 "คุณ สมัคร สุนทรเวช หรือลุงหมักผู้อันเป็นที่รักของผม"



อมฤตาลัย ละครโทรทัศน์ในอดีต 2518

 ความทรงจำในอดีตกับ "อมฤตาลัย" ละครโทรทัศน์ในอดีต พ.ศ.2518



ภาพประกอบด้านบนทั้งสองภาพคือ  สมเด็จพระเรียมนโรดม บุปผาเทวี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ และพระพี่นางเธอในสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ (สุภาพสตรีที่งดงามที่สุดสำหรับผม )


      เพลงประกอบละครโทรทัศน์เรื่อง "อมฤตาลัย"   ขับร้องโดยคุณ "ประภาศรี ศรีคำภา"  คำร้อง ทำนองโดยคุณ  "มนัส  ปิติสานต์"  ออกฉายทางช่อง 7 หลังข่าวราชสำนักเมื่อปีพ.ศ. 2518    ผมดูละครเรื่องนี้ตอนผมอายุ 8 ขวบ ทีวีก็เป็นแบบขาวดำ ในยุคนั้นยังไม่มีทีวีสี ( ต่างจังหวัด )   ผมกลัวตัวละครที่ชื่อ"เวตาล"กับ"เกียรติมุข"มากๆ( ตัวละครทั้งสองเป็นปีศาจสมุนของ"พันธุมเทวี "( พันธุมเทวี คือตัวละครสำคัญที่สุด )  ผมจำชื่อพระเอก (ในเรื่อง )ไม่ได้  แต่ผมจำชื่อพระรองได้แกชื่อไพฑูรย์เป็นนักโบราณคดี  ในความทรงจำในวัยเด็กของผมนั้นผมจำฉากที่ไพฑูรย์นั่งที่หน้าต่าง  ฉากคือความมืดมิดแล้วเวตาลก็บินมาทำร้าย  อีกฉากนึงที่ผมจำได้คือฉากที่พันธุมเทวีแสยะยิ้ม  แต่รอยแสยะยิ้มนั้นมีเลือดอยู่ด้วย  แม่บอกว่าผมต้องเอามือปิดตา  แต่ผมใช้สายตามองลอดนิ้วมือ ( ฉากพันธุมเทวีแสยะยิ้มเป็นไตเติ้ลของละคร )  ผู้แสดงเป็นพันธุมเทวีผมไม่รู้จักแต่ผมจำไดัติดตาว่า  เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและดูมีอำนาจในตัวมาก  ก่อนทำคลิปนี้ผมก็พยายามหาข้อมูลของเธอ  แต่ก็หาไม่ได้เลย  แค่ภาพของพันธุมเทวีก็ยังติดตาติดใจของผม  แม้บางครั้งจะเลือนหายไปบ้าง  แต่ก็ยังตกตะกอนนอนก้นในความทรงจำของผมเสมอ  



ภาพประกอบ  นางอัปสรา นครวัด กัมพูชา


    แล้ววันหนึ่งของต้นปีนี้แหละที่ผมได้พบกับผู้ที่มีบุคลิคที่เหมือน"พันธุมเทวี" ในละครมากๆ ผ่านทางyoutube ช่องหนึ่ง    ในงานพิธีรำบรวงสวง งานนมัสการพระบรมธาตุนาดูน จ.มหาสารคาม  ศิลปินนักร้องสาวท่านหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดย้อนยุค  เป็นผู้ร่ายรำอย่างสวยงามแลเด่นเป็นสง่ายู่บนแท่นสูง เหนือนางรำอื่นๆหลายร้อยชีวิต   เคัาโครงใบหน้าของเธอและชุดที่เธอสวมใส่  ผมมั่นใจว่านี่แหละ"พันธุมเทวีในวัยเด็กของผม "  ความจริงแล้วผมก็เคยเห็นศิลปินลูกทุ่งสาวท่านนี้ตามป้ายโฆษณาทั่วไป  บางครั้งผมพยายามจ้องมองภาพของเธอ  ด้วยความรู้สึกว่าผมเคยพบหรือรู้จักเธอเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า ?  ย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว  รถยนต์ของผมจอดเสียอยู่ริมถนนแห่งหนึ่งแถบจังหวัดอ่างทองหรือสิงห์บุรีไม่แน่ใจ  ระหว่างรอช่างอยู่นั้น... สายตาของผมได้เห็นป้ายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่อีกฟากของถนน  มันเป็นป้ายกำหนดการแสดงของนักร้องหลายท่าน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง   แต่ภาพที่เตะตาของผมเป็นภาพใบหน้าของศิลปินสาวท่านนี้  ตัวหนังสือระบุชื่อของเธอเล็กเกินไป  เมื่อเทียบกับระยะสายตาของผม   ผมเรียกเพื่อนที่มาด้วยกันช่วยดูว่าเป็นคนในหมู่บ้านเราหรือเปล่า  เพราะผมรู้สึกคุ้นหน้าของเธอเอามากๆ  เพื่อนบอกไม่รู้จักและไม่ใช่คนในหมู่บ้านของเราแน่นอน  นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับเธอบนป้ายโฆษณา  มาทราบภายหลังว่าเธอคือศิลปินลูกทุ่งชื่อดังนั่นเองครับ



ภาพประกอบ  นางอัปสรา นครวัด กัมพูชา

  
    หากมีการนำละครเรื่อง  "อมฤตาลัย"  มาสร้างใหม่อีกครั้ง  ผู้ที่จะรับบทบาทเป็น "พันธุมเทวี " ก็ต้องเป็นศิลปินลูกทุ่งสาวท่านนี้แหละครับเหมาะสมเป็นที่สุด  แม้เธอจะไม่ใช่คนสวยมากมายนัก  แต่เธอก็จัดเป็นหญิงสาวหน้าตาดีและน่ารักคนหนึ่งทีเดียว  โดยเฉพาะบุคลิกนิ่งๆแลดูลึกลับน่าเกรงขามและงามสง่าของเธอนี่แหละ  ที่สำคัญ...ผมมีความรู้สึกว่าเธอต้องมีสำผัสทางจิตหรือเซ๊นส์ที่แรงเอาเรื่องเชียวแหละ  เพราะ "พันธุมเทวี " ในละครเรื่องนี้ก็อำนาจทางจิตเป็นอาวุธสำคัญ  ไม่งั๊นคงจะควบคุม"เวตาล"กับ"เกียรติมุข" ซึ่งเป็นปีศาจร้ายไม่ได้แน่นอนครับ  ร่ายมาเสียยาว...  เพราะยิ่งเขียนข้อมูลเก่าๆในหัว  มันก็เริ่มพรั่งพรูออกมาครับ  สำหรับท่านที่หลวมเนื้อหลวมตัวเข้ามาอ่านบทความของผม  คงอยากทราบว่าศิลปินลูกทุ่งสาวท่านนี้เป็นใคร ?  ผมก็ไม่อาจระบุชื่อของเธอได้โดยตรงมันจะผิดมารยาท  เดี๋ยวเธอจะฟ้องผมด้วยข้อหา ชำเลืองทรัพย์ ผมจะเดือดร้อนเอาน่ะครับ  เอาเป็นว่าเธอมีชื่อเล่นอยู่ในปี"นักษัตร"ไทย  และเธอมีชื่อจริงที่หมายถึง"หญิงงาม"ครับ  ส่วนผมก็คงนอนตายตาหลับ  เพราะได้เจอพันธุมเทวีในวัยเด็กของผมเสียที ฮา



9 สิงหาคม 2563

ตำนาน โศกนาฎกรรม ที่มาของหนัง คนเห็นผี

 


   

"เหตุการณ์รถแก๊สระเบิด ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่"
นี่คือหนึ่งโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ที่หลายคนไม่อยากคิดถึงมัน
ในวันนั้น...เป็นช่วงค่ำของวันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2533 บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ถนนใจกลางเมืองก็ยังคงคลาคล่ำไปด้วยรถยนต์เหมือนเช่นทุกวันของกรุงเทพมหานคร หลายชีวิตบนถนนเพิ่งกลับจากทำงานเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน หลายชีวิตก็เพิ่งเริ่มต้นกับแสงสียามราตรีบนถนนเส้นนี้ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมา เพียงเพราะความประมาทของคนเพียงแค่คนเดียว และความมักง่ายของบริษัทหนึ่งจะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่ยังคงฝังใจคนไทยทุกคน มาจนถึงวันนี้

                                                                               

เวลาประมาณ 22.00 น. นายสุทัศน์ ฟักแคเล็ก คนขับรถบรรทุกแก๊สของบริษัท อุตสาหกรรมแก๊ส-สยาม จำกัด ได้พยายามขับลงจากทางด่วนเพชรบุรีตัดใหม่ด้วยความเร็วเพียงเพื่อที่จะข้าม ผ่านให้พ้นไฟแดง แต่รถกลับเกิดอุบัติเหตุจนพลิกคว่ำไถลไปกับพื้นถนน ทำให้ถังบรรจุแก๊สขนาด 20,000 ลิตร จำนวน 2 ถัง หลุดออกจากตัวรถและปริแตก แก๊สที่บรรจุอยู่ภายในพวยพุ่งออกมาทั่วทั้งถนน แล้วเมื่อไหลไปเจอกับประกายไฟก็เกิดระเบิดขึ้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหวหลายครั้ง ลูกไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดงฉาน ทำให้บริเวณถนนเพชรบุรตัดใหม่และละแวกใกล้เคียงกลายเป็นทะเลเพลิงไปในพริบตา และลุกลามไปอย่างรวดเร็วจนเป็นวงกว้าง พร้อมกับครอกผู้คนที่อยู่ในรถยนต์บนถนนเส้นนั้น ทำให้หลายรายเสียชีวิตในทันที บางคนที่พอจะตั้งหลักได้ก็พากันวิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกมาจากกองเพลิง แต่ส่วนมากอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส จากเปลวไฟทั้งสิ้น พ.ต.อ.ทนัย อภิชาติเสนีย์ ผกก.ฝอ.สลก.ตร. ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็น รอง สว.สส.สน.พญาไท รับผิดชอบพื้นที่เกิดเหตุ เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนยังจำได้ขึ้นใจว่า ขณะเกิดเหตุกำลังพักผ่อนอยู่ที่แฟลตใกล้กับ สน.พญาไท น้องชายได้มาเรียกให้ดูข่าวทางโทรทัศน์ซึ่งรายงานเหตุการณ์น่าตกตะลึงที่ เกิดขึ้น จึงรีบเดินทางมาที่ สน.พญาไท และพยายามขี่รถจักรยานยนต์สายตรวจเข้าไปยังจุดเกิดเหตุแต่ไม่สามารถเข้าไป ได้เนื่องจากเพลิงยังคงโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง จึงกลับมาประชุมพร้อมกับตำรวจในพื้นที่ ซึ่งตอนนั้นเป็นของกองกำกับการ 3 ประกอบด้วย สน.พญาไท, สน.ดินแดง, สน.ดุสิต, สน.สามเสน และสน.มักกะสัน โดยได้แบ่งงานกันออกไปรวบรวมรายชื่อผู้บาดเจ็บที่ส่งไปรักษายังโรงพยาบาล ใกล้เคียง
“ผมได้รับมอบหมายให้ไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลตำรวจ ผมไปถึงตอนประมาณตี 3 สถานการณ์ในโรงพยาบาลกำลังชุลมุนวุ่นวายเนื่องจากมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก แพทย์และพยาบาลต้องทำงานอย่างหนัก เราทำได้แค่เพียงรวบรวมรายชื่อและสอบปากคำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไม่มาก และผู้ที่ได้รับการรักษาแล้ว จากนั้นก็ไปที่สถาบันนิติเวชเพื่อไปดูศพ จำได้อย่างติดตาเพราะสภาพศพแต่ละศพถูกไฟเผาจนไหม้ตำเป็นตอตะโก ศพที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ก็จะถูกนำมาวางเรียงรายเต็มไปหมด ภาพที่เห็นแม้ว่าผมจะเป็นตำรวจและเคยเห็นศพมาก่อนก็ยังรู้สึกหดหู่ใจ” พ.ต.อ.ทนัย กล่าว
ในคืนนั้น...เจ้าหน้าที่กู้ภัยและหน่วยดับเพลิงต้องทำงานอย่างหนัก กว่าเพลิงจะสงบลงก็ใช้เวลาถึง 1 วันเต็มๆ หลังจากเพลิงสงบเมื่อเจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ก็ยังคงปรากฏภาพ ที่น่าโศกสลด เมื่อพบศพที่ถูกเผาทั้งเป็นติดอยู่กับรถโดยไม่ทันตั้งตัว อุบัติเหตุครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนไปทั้งสิ้น 59 ศพ บาดเจ็บอีก 89 ราย อาคารพาณิชย์และบ้านเรือนประชาชนในละแวกนั้นได้รับความเสียหาย ไปเกือบ 40 คูหา รวมไปถึงชุมชนแออัดอีก 100 หลังคาเรือน ส่วนนายสุทัศน์คนขับเสียชีวิตคาที่นั่ง แต่สิ่งที่ตอกย้ำความเจ็บช้ำของผู้ที่สูญเสียคือผลจากการตรวจพิสูจน์ที่พบ ว่าสาเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนั้นเกิดจากรถบรรทุกแก๊ส ไม่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด



พ.ต.อ.ทนัย เล่าถึงเหตุการณ์ในเช้าวันถัดมาว่า หลังจากที่ได้รวบรวมรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตแล้วจากโรงพยาบาลต่างๆ ตำรวจในทุก สน.ในพื้นที่ก็ได้นำรายชื่อมาส่งให้ตนพิมพ์ลงคอมพิวเตอร์ซึ่งสมัยนั้นตำรวจ เพิ่งเริ่มมีการนำใช้ โปรแกรมที่มีก็ยังเป็นโปรแกรมแบบเก่าจึงไม่ค่อยมีใครใช้งานเป็น จึงต้องใช้เวลานานจนเกือบรุ่งเช้า จากนั้นได้นำไปติดไว้ที่บอร์ดหน้า สน. แล้วกลับมาพักผ่อนที่ห้อง แต่เพียงไม่นานสารวัตรใหญ่ก็ให้ลูกน้องมาตามให้ไปพิมพ์รายชื่อเพิ่ม เมื่อออกมาดูที่หน้า สน.ก็ตกใจกับภาพที่ปรากฏเพราะว่ามีประชาชนจำนวนมากมาออกันอยู่เต็มหน้า สน.จนมืดฟ้ามัวดิน เพราะประชาชนจากหลายที่ต่างมาดูรายชื่อญาติที่คิดว่าอาจจะอยู่ในที่เกิดเหตุ
พล.ต.ต.มณเฑียร ประทีปะวณิช ผบก.ประจำ สง.ผบ.ตร. เป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ สน.พญาไทในขณะนั้น กล่าวถึงการทำงานของตำรวจหลังเกิดเหตุการณ์รถแก๊สระเบิดว่า เมื่อเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามประสานทุกหน่วยงานเพื่อเข้าไปช่วยเหลือ แต่เนื่องจากเหตุรุนแรงมาก เหมือนพื้นที่ถูกระเบิดลงจึงกลายเป็นพื้นที่ปิด จึงทำให้การทำงานของตำรวจยากลำบาก การทำงานจึงเริ่มหลังจากเกิดเหตุไปแล้ว โดยได้เน้นที่งานสอบสวน พยายามที่จะย้ำให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุให้มากที่สุด โดยประสานงานกับเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานให้ทำงานอย่างเป็นระบบ เพราะท้ายที่สุดก็ต้องดำเนินคดีกับบริษัทที่รับผิดชอบให้ได้ โดยชี้ให้เห็นว่าเกิดจากความประมาทไม่ใช่อุบัติเหตุ
ในวันนี้...แม้ว่าโศกนาฏกรรมรถแก๊สระเบิดบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ จะผ่านมาจนครบ 23 ปีแล้ว แต่ความเจ็บปวดในครั้งนั้นก็ยังฝังใจทุกครั้งเมื่อมีข่าวคราวของรถแก๊สพลิก คว่ำ ซึ่งยังมีให้เห็นอยู่เสมอจนเกิดคำถามขึ้นในใจว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ เรียนรู้และแก้ไขอะไรบ้างจากเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น
“สิ่งที่ตำรวจได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ในลักษณะที่เกิดขึ้น เรื่องแรกคือด้านงานสอบสวน การรวบรวมหลักฐาน เพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินคดี ส่วนที่เกิดขึ้นแล้วเราคงจะไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่การทำหน้าที่ของตำรวจอย่างเต็มที่ในครั้งนั้นเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของ บริษัทแก๊สสยาม และกระแสสังคมที่เกิดขึ้น ส่งแรงผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการมาดูแลเข้มงวดยิ่งขึ้นแม้ จะดูเหมือนวัวหายล้อมคอกก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นบทเรียนสำคัญของคนไทยที่เราไม่คิดมาก่อนว่าจะเกิด ขึ้น แต่ในอนาคตต่อไปจะทำให้เราได้ตระหนักถึงภัยพิบัติในรูปแบบอื่นที่อาจจะเกิด ตามมาซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เชื่อว่าในยามคับขันชาวไทยทุกคนจะออกมาช่วยเหลือกัน” พล.ต.ต.มณเฑียร กล่าว
แม้จะถือว่าเป็นบนเรียนครั้งสำคัญสำหรับประเทศไทย แต่เมื่อวันเวลาเคลื่อนคล้อยไป มาตรการการป้องกันต่างๆ อย่างเข้มงวดก็ถูกลืมเลือนที่จะนำมาปฏิบัติใช้ด้วย หรือจะต้องให้โศกนาฏกรรมแบบนั้น ย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง
เหตุการณ์แก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ พ.ศ. 2533 เป็นอุบัติเหตุแก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ในคืนวันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2533 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก นับเป็นข่าวอุบัติเหตุที่ครึกโครมที่สุดในสมัยนั้น



เหตุเกิดเวลาประมาณ 22.00 น. รถบรรทุกแก๊สที่ขับโดยสุทัน ฝักแคเล็ก พยายามขับลงทางด่วนเพชรบุรีตัดใหม่ด้วยความเร็วเพื่อให้พ้นไฟแดง แต่รถได้เกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ จากนั้นตัวรถได้ไถลไปกับพื้น ด้วยแรงเสียดสีกับพื้นถนน ทำให้ถังบรรจุแก๊สรูปแคปซูล 2 ถัง ถังละ 20,000 ลิตร หลุดออกจากตัวรถ และเกิดเป็นความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการเพิ่มแรงอัดให้กับแก๊สที่บรรจุอยู่ภายในถังเหล็กไม่อาจทนแรงเสียดสีได้ปริแตก แก๊สที่บรรจุอยู่ภายในได้พวยพุ่งออกมาและเกิดเป็นประกายไฟและระเบิดเสียงดังหลายครั้ง ทำให้บริเวณถนนเพชรบุรีตัดใหม่และละแวกใกล้เคียงกลายเป็นทะเลเพลิงในไม่กี่วินาที
ไฟได้ลุกลามอย่างรวดเร็วและครอกผู้คนที่ติดอยู่ในรถยนต์ซึ่งกำลังติดไฟแดงอยู่ ณ บริเวณนั้น หลายรายเสียชีวิตทันที บางรายก็เสียชีวิตในรถเนื่องจากสำลักควัน บางคนที่สามารถหนีออกมาได้ ก็อยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัส เนื้อตัวเป็นแผลพุผองจากเปลวไฟ ขณะเดียวกันถังแก๊สอีกถังที่ยังติดอยู่กับตัวรถไม่อาจทนทานความร้อนได้ ก็ระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง ตึกแถวสองฟากถนนเกิดไฟลุกท่วม และลามไปติดแผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่เกิดเป็นลูกไฟสูงท่วมตึกสามชั้น หม้อแปลงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ข้างถนนเกิดช็อตกระแสไฟถูกตัดขาด ทำให้เกิดไฟดับ และเกิดเป็นลูกไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสีแดงฉาน ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามบ้านเรือนบริเวณนั้นและละแวกใกล้เคียงรวมทั้งชุมนุมแออัดนับ 100 หลังคาเรือน ต่างพากันพยายามหลบหนีเอาชีวิตรอด
ไฟยังคงไหม้ต่อเนื่องนานนับชั่วโมงเจ้าหน้าที่จากหน่วยกู้ชีพ และตำรวจดับเพลิงพยายามฉีดน้ำสกัดกั้น แต่เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ เพราะแก๊สได้ฟุ้งกระจายไปในอากาศ เพลิงมาสงบเอาในเวลา 22.00 น. ของคืนต่อมา


ศาลฎีกาบรรยายเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้ในคำพิพากษาว่า "...เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2533 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา นายสุทัน ฝักแคเล็ก ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกก๊าซคันเกิดเหตุลงจากทางด่วนมาที่ถนนเพชรบุรีด้วยความเร็วเพื่อเร่งให้พ้นสัญญาไฟจราจรที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสัญญาไฟแดง นายสุทันเลี้ยวรถไปทางด้านขวามุ่งหน้าจะไปสี่แยกมักกะสัน แต่รถยนต์บรรทุกก๊าซคันเกิดเหตุพลิกตะแคงครูดไปกับพื้นถนนจนถึงหน้าอาคารหอพักริมถนนเพชรบุรี ถังบรรจุก๊าซสองถังหลุดออกจากตัวรถ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอล.พี.จี.) ที่บรรทุกมารั่วแผ่กระจายเป็นบริเวณกว้าง แล้วระเบิดเกิดเพลิงลุกไหม้ นายสุทันถึงแก่ความตายในรถ เพลิงลุกลามไหม้บ้านเรือนในชุมชนแออัดซึ่งอยู่ด้านซ้ายของถนนเพชรบุรีเสียหาย ไหม้ตึกแถวด้านซ้ายและขวาของถนนเพชรบุรีจำนวน 51 ห้อง รถยนต์และรถจักรยานยนต์ซึ่งจอดอยู่ในถนนเพชรบุรีตั้งแต่แยกทางด่วนถึงแยกถนนวิทยุเสียหายประมาณ 67 คัน และจากเพลิงไหม้ดังกล่าวเป็นเหตุให้มีบุคคลถึงแก่ความตายแปด 80 คน ได้รับอันตรายสาหัส 24 คน ได้รับอันตรายแก่กาย 12 คน ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 214,926,282 บาท
รถบรรทุกแก๊สคันนี้ ไม่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนดไว้คือ ไม่มีข้อต่อระหว่างถังแก๊สกับตัวรถ ซึ่งข้อต่อดังกล่าวมีประโยชน์ในการยึดติดกับตัวรถ ไม่ให้เคลื่อนตัวหรือหล่นลงมาจนเกิดอันตราย นอกจากนี้ยังไม่มีสายรัดถังแก๊สเหมือนกับที่รถบรรทุกแก๊สทั่ว ๆ ไปใช้กัน เหตุการณ์อุบัติเหตุครั้งนี้ ภายหลังได้ถูกหยิบยกมาเป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง "คนเห็นผี" ของ ออกไซด์ แปง ในปี พ.ศ. 2545 ด้วย
คัดลอกจากเพจ ตำนานคดีดัง

4 สิงหาคม 2563

Evelyn McHale กับความตายที่งดงามที่สุด



Evelyn McHale

เธอคือหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของความตายที่งดงามที่สุด จากการที่ภาพศพของเธอได้ขึ้นปกนิตยสาร LIFE ของสหรัฐอเมริกา
โดยเธอนั้นได้กระโดดลงมาจากชั้นชมวิวของตึกเอ็มไพร์สเตทและกระแทกเข้ากับหลังคารถลีมูซีนจนเสียชีวิต ในสภาพงดงามราวกับนอนหลับไปเฉยๆ
เชื่อกันว่ามีสาเหตุในการฆ่าตัวตายของเธอ น่าจะมาจากการผิดหวังในความรัก โดยอ้างอิงจากจดหมายลาตายที่เธอทิ้งเอาไว้นั่นเอง


อย่างไรก็ตามความตายในของเธอนั้นทำให้มีคนพยายามจะเลียนแบบเธอเป็นจำนวนมาก จนทำให้บริษัทที่ดูแลอาคารตัดสินใจวางมาตรการป้องกันผู้ที่มาฆ่าตัวตายเลียนแบบเธอขึ้นเลยด้วย
Evelyn Mchale หญิงที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นผู้ที่ “ฆ่าตัวตายได้สวยงามที่สุด (The Most Beautiful Suicide)”
Evelyn Mchale เป็นหญิงที่กระโดดฆ่าตัวตายจากชั้น 86 ของตึกเอ็มไพร์ สเตทในสหรัฐอเมริกา
แต่สภาพศพเธอนั้นโด่งดังและได้รับการบันทึกว่าเป็น “ผู้ที่ฆ่าตัวตายได้สวยงามที่สุด (The Most Beautiful Suicide)”
เธอเกิดที่แคลิฟอร์เนียในปีค.ศ.1923 (พ.ศ.2466) และไม่มีใครทราบประวัติอย่างละเอียดของเธอ ทราบแต่เพียงว่าพ่อและแม่ของเธอได้หย่ากัน และเมื่อโตมา เธอก็ได้ทำงานเป็นพนักงานบัญชีในแมนฮัตตัน และได้หมั้นกับชายคนหนึ่งในช่วงที่ทำงาน
30 เมษายน ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) หนึ่งวันก่อนที่ Mchale จะฆ่าตัวตาย เธอได้ไปหาคู่หมั้นของเธอ ซึ่งคู่หมั้นของเธอก็ยืนยันว่าเธอปกติดี ไม่ได้มีการทะเลาะหรือมีปัญหาอะไรกัน



เช้าวันต่อมา วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) Mchale ได้ขึ้นมาบนชั้น 86 ของตึกเอ็มไพร์ สเตท ก่อนจะถอดเสื้อโค้ตแขวนไว้กับราว โดยในเสื้อโค้ตนั้น เธอได้ทิ้งโน้ตเอาไว้ด้วย ก่อนที่เธอจะกระโดดลงมา
ร่างของ Mchale ร่วงลงมากระแทกกับหลังคารถลิมูซีนคันหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้คนบริเวณนั้นตกตะลึง แต่ก็ได้มีนักเรียนถ่ายรูปผู้หนึ่ง รีบวิ่งมาถ่ายรูปเธอ ซึ่งต่อมา ภาพนี้จะกลายเป็นภาพที่โด่งดังภาพหนึ่งในประวัติศาสตร์
Mchale นั้นดูสงบนิ่ง เหมือนคนนอนหลับ ขาไขว้กันทั้งสองข้าง ที่มือยังสวมถุงมือ มือข้างหนึ่งกำสร้อยไข่มุก
เมื่อตำรวจได้มาตรวจที่เกิดเหตุ และตรวจเสื้อโค้ตของเธอ ก็ได้พบโน้ตที่ Mchale เขียนเอาไว้ ความว่า
“ฉันไม่ต้องการให้ใคร ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวหรือคนนอกเห็นส่วนไหนของฉันก็ตาม คุณช่วยเผาศพฉันได้มั้ย? ฉันขอร้องคุณและครอบครัวของฉัน ไม่ต้องมีงานศพหรืองานรำลึกถึงฉัน คู่หมั้นของฉันได้ขอฉันแต่งงานในเดือนมิถุนายน แต่ฉันไม่คิดว่าฉันจะเป็นภรรยาที่ดีสำหรับใครได้ ถ้าไม่มีฉัน เขาจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ บอกพ่อฉันด้วยนะว่าฉันมีนิสัยเหมือนแม่มากเกินไป”
ร่างของ Mchale ได้ถูกเผาตามความประสงค์ของเธอ และก็ไม่มีการจัดงานศพ
แต่ความต้องการที่จะไม่ให้ใครเห็นร่างของเธอดูเหมือนจะไม่เป็นจริง เนื่องจากภาพการฆ่าตัวตายของเธอนั้นยังคงโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะผ่านมานานกว่า 70 ปี


References: https://allthatsinteresting.com/evelyn-mchale-most-beautiful-suicide
https://rarehistoricalphotos.com/beautiful-suicide-evelyn-mchale-leapt-death-empire-state-building-1947/
https://m.ranker.com/list/the-sad-tale-behind-the-suicide-of-evelyn-mchale/kellie-kreiss
http://www.codex99.com/photography/43.html
https://time.com/3456028/the-most-beautiful-suicide-a-violent-death-an-immortal-photo/
http://www.atchuup.com/the-most-beautiful-suicide-picture-of-evelyn-mchale/
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Evelyn_McHale
Via. Blockdit ประวัติศาสตร์ไทยและเทศ ,เพจ เจาะเวลาหาอดึต





3 สิงหาคม 2563

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?




กาลครั้งหนึ่ง มีขอทานคนหนึ่งออกขอทานทุกวัน เขาอยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรังและตุนไว้ แต่ว่าเขากักตุนเสบียงมาหลายปี ยุ้งฉางของเขาก็มีเพียงข้าวสารนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ
คืนวันหนึ่ง เขาแอบอยู่มุมหนึ่งของบ้านและจ้องไปที่เสบียง ในที่สุด เขาเห็นหนูตัวใหญ่มาขโมยกินเสบียงของเขา เขาโกรธมาก ตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า "บ้านคนรวยมีอาหารเยอะแยะ แกทำไมไม่ไปกินทำไมเจาะจงมากินอาหารข้าที่กักตุนมาด้วยความลำบาก" เจ้าหนูพูดขึ้นว่า "ชะตาของเจ้ามีข้าวสารได้แค่8ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถมีข้าวได้ครบถัง" ขอทานถามเจ้าหนู "ทำไมเป็นเช่นนั้น" เจ้าหนูตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้ เจ้าไปถามพระพุทธองค์สิ
ขอทานจึงตัดสินใจ เดินทางไปทางทิศตะวันตกเพื่อถามพระพุทธองค์ ว่าเหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้
เจ้าขอทานก็ออกเดินทาง เขาขอทานระหว่างทาง เดินทางไปไกลมาก วันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืดถึงจะพบบ้านคนหลังหนึ่ง รีบไปเคาะประตู มีพ่อบ้านเดินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกขอข้าวกินหน่อย พอดีเศรษฐีเจ้าของบ้านออกมาเห็นเข้า เลยถามขอทานว่า มืดอย่างนี้แล้วทำไมยังเดินทางอยู่อีก ขอทานจึงเล่าชะตาชีวิตให้เศรษฐีฟัง
บอกว่าจะไปถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ เศรษฐีได้ยินดังนั้น รีบเชิญขอทานเข้าไปนั่งในบ้าน ให้เสบียงกรังและเงินกับเขาจำนวนหนึ่ง ขอทานถามว่าทำไมทำเช่นนั้น เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ฟังว่า ลูกสาวข้าอายุ16แล้ว ยังพูดไม่ได้ ขอร้องให้เจ้าช่วยถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ด้วย
เศรษฐีเคยสาบานว่าใครก็ตามที่ทำให้ลูกสาวพูดได้ เขาก็จะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น ขอทานได้ฟังเช่นนั้น คิดว่าไหนๆก็จะไปหาพระพุทธองค์อยู่แล้ว เราก็ถือโอกาสช่วยถามให้เขาก็ได้ ขอทานจึงรับปากจะถามให้
ขอทานเดินทางต่อไปผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เดินถึงเขาลูกหนึ่ง เห็นวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม เห็นพระแก่รูปหนึ่งถือไม้เท้าดีบุก ท่าทางแก่มาก แต่ดูกระฉับกระเฉง พระชราให้น้ำเขาดื่มและบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่ แล้วถามเขาว่าจะไปไหน ขอทานบอกจุดหมายที่จะไป พระชรารีบจับมือขอทานไว้และพูดว่า ขอร้องเจ้าต้องช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อย ข้าเข้าฌานฝึกฝนมา 500 กว่าปีแล้ว ตามหลักควรจะขึ้นสวรรค์แล้ว ทำไมยังบินขึ้นไปไม่ได้ ขอทานก็เลยรับปากพระชรา
เดินไปข้างหน้า ผ่านหนทางทั้งห้วยหนองคลองบึง ขอทานมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ในแม่น้ำไม่มีเรือสักลำ ขอทานร้อนรนใจ จะทำอย่างไรดี จะข้ามไปยังไง ขอทานร้องไห้และพูดว่า หรือว่าชีวิตข้าจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ ทันใดนั้น เต่ายักษ์แก่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เต่าแก่พูดภาษาคนได้ ถามขอทานว่ามาร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เต่าแก่พูดกับเขาว่า ข้าได้เข้าฌานปฏิบัติตนมา 1000 ปีแล้ว ตามหลักน่าจะกลายเป็นมังกรบินไปแล้ว ทำไมยังเป็นแค่เต่าแก่ๆตัวหนึ่ง ถ้าเจ้าไปพบพระพุทธองค์ช่วยถามให้ข้าด้วย ข้าจะให้เจ้าขี่ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม ขอทานรับปากด้วยความดีใจ
ขอทานเดินไปจำไม่ได้ว่าอีกกี่วัน แต่ก็หาพระพุทธองค์ไม่เจอ คิดในใจว่าพระพุทธองค์อยู่ไหนนะ แดนสุขาวดีน่าจะถึงแล้ว ขอทานเสียใจมาก เลยผลอยหลับไปแบบงุนงง
ทันใดนั้นพระพุทธองค์ปรากฏองค์ขึ้น ขอทานดีใจมาก พระพุทธองค์ถามขอทานว่า เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไรที่สำคัญมากใช่ไหม ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะถามคำถามหลายคำถาม หวังว่าท่านจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้ พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขหนึ่งนะเจ้าถามได้สูงสุดแค่ 3 คำถามเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยมีใครถามเกิน 3 คำถามมาก่อน ขอทานตอบตกลง คิดในใจว่า ข้าจะถามคำถามไหนดีขอทานรู้สึกว่าคำถามของตนเองช่างไม่มีความสำคัญเลย
เต่าแก่เข้าฌานมา1000ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามเขาน่าจะลองถามดู
พระชราปฏิบัติมา500ปี ก็ลำบากมาก คำถามเขาก็น่าจะถามดู
ลูกสาวเศรษฐีช่างน่าสงสารนัก พูดไม่ได้แล้วจะแต่งงานได้ยังไง
คำถามของเขาก็น่าจะถามดู และแล้วขอทานจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่1
พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าแก่ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้ ในกระดองของเต่ามีไข่มุกราตรีอยู่24เม็ด ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้
คำถามที่2 ท่านตอบว่า พระชราถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน ในใจพะวงแต่ไม้เท้าว่าเป็นของวิเศษ ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น1ที บนพื้นก็จะกลายเป็นธารน้ำใส ถ้าหากพระชรายอมโยนไม้เท้าทิ้ง เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว
ขอทานดีใจมาก จึงถามคำถามที่3 ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวได้พบคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้นพระพุทธองค์ก็หายไป?
ขอทานรู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองไม่มีอะไรสำคัญ กลับไปขอทานตามเดิมดีกว่า แล้วจึงรีบเดินทางกลับ ขอทานกลับมาถึงริมแม่น้ำ เต่าแก่คำนวนว่าขอทานน่าจะมาถึงแล้ว จึงรีบถามว่าพระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง ขอทานพูดว่า เจ้าพาข้าข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง เต่าพาขอทานข้ามแม่น้ำไป ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง เต่าฟังแล้วเข้าใจทันที จึงถอดกระดองออกยกให้ขอทานและพูดว่า ในนี้มีไข่มุกราตรี24เม็ด เป็นของที่หาค่ามิได้ สำหรับข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า เต่าแก่จึงกลายเป็นมังกร บินหายไป
ขอทานเอาไข่มุกราตรี24เม็ด รีบเดินทางกลับมาถึงบนเขาพบกับพระชรา พระชรารีบถามว่าพระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษให้แก่ขอทาน พระชราจึงขี่เมฆบินขึ้นท้องฟ้าหายไป
ขอทานเดินทางมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี ทันใดนั้น มีหญิงสาววิ่งออกมาและตะโกนเสียงดังว่า คนที่ไปถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว เศรษฐีก็วิ่งออกมา เขาตกใจมากที่อยู่ๆลูกสาวเขาพูดได้ ขอทานถ่ายทอดคำตรัสพระพุทธองค์ เศรษฐีดีใจมาก จึงให้ลูกสาวแต่งงานกับขอทาน
ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา
ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา
คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงคุณ
นี่คือเหตุและผล นี่คือกฏเกณฑ์
การแบ่งปันเล็กๆของท่าน อาจสามารถส่องสว่างให้แก่ชีวิตคนมากมาย คนมีความฝันจึงทำให้ยิ่งใหญ่ การกระทำยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จ การเรียนรู้ของท่านทำให้ท่านเปลี่ยนแปลง

เครดิตจากเพจ เจาะเวลาหาอดีต



“บ้าน” ในจินตนาการของเด็กผู้เติบโตในค่ายนาซี





ภาพ “บ้าน” ของเด็กผู้เติบโตในค่ายกักกันนาซี ลายเส้นยุ่งเหยิงที่ออกจากจิตใจที่มีบาดแผล
จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณบอกให้เด็กที่เติบโตมาในค่ายกักกันในช่วงสงคราม วาดภาพของ “บ้าน” ออกมา? ภาพที่พวกเด็กเหล่านั้นวาดออกมาจะเสียดแทงจิตใจขนาดไหนกัน
นี่คือภาพของ David Seymour ที่ถูกถ่ายมาจากศูนย์ฟื้นฟูจิตเวชสำหรับเด็กในวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เมื่อปี 1948 โดยเป็นภาพของเด็กสาวที่ถูกเรียกว่า “Tereszka” หญิงสาวผู้เติบโตมาในค่ายกักกันของนาซีเยอรมัน
ข้อมูลที่เราทราบเกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้มีอยู่น้อยมาก แต่จากภาพที่ปรากฏมาในสายตาของคนทั้งโลก ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดวงตาของเธอ ไม่ใช่ดวงตาของเด็กที่ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว
เป็นไปได้ว่าในระหว่างที่อยู่ในค่ายกักกัน เด็กสาวคนนี้อาจจะต้องพบประสบการณ์ที่เจ็บปวดมามากกว่าที่จะบรรยายได้
และจากภาพที่เธอวาด หลายๆ คนก็ตีความไปถึงความสับสนวุ่นวายในจิตใจของเด็กสาว หรือแม้กระทั่งรั้วลวดหนามของค่ายกักกันเอง
ตลอดช่วงสงครามเชื่อกันว่ามีเด็กชาวยิวกว่า 216,000 คนถูกส่งไปยังค่ายกักกันเอาชวิทซ์ แต่เมื่อจบสงคราม ทางโซเวียตกลับพบเด็กชาวยิวหลงเหลือในค่ายเพียง 451 คนเท่านั้น
ในบรรดาเด็กเหล่านั้นยิ่งมีน้อยคนมากที่ได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เพราะพวกเขามักไม่เหลือญาติพี่น้องอีกต่อไป ไม่รู้ที่ไปที่มาของตัวเอง หรือไม่ก็จะมีความผิดปกติทางอารมณ์อย่างรุนแรงจนต้องเขารับการรักษาในศูนย์ฟื้นฟูจิตเวช
หากโชคดีพวกเด็กๆ จะได้ถูกรับอุปการะหลังจากนั้น แต่ถึงอย่างนั้นบาดแผลที่พวกเขาได้รับก็มักจะเป็นเรื่องฝังลึกที่รักษาไม่หายไปอีกนานอยู่ดี
ที่มา rarehistoricalphotos

2 สิงหาคม 2563

ชา กับ การสังหารหมู่ช้าง




 ศรีลังกาเป็นเกาะตั้งอยู่ตอนปลายของอนุทวีปอินเดีย ประชากรหลักคือ ชาวสิงหล โดยมีชาวทมิฬ เป็นชน กลุ่มน้อยอยู่ทางตอนเหนือ นอกจากนี้ยังมีชนพื้นเมือง อื่นๆ อีกหลายกลุ่ม
 ในวัฒนธรรมของศรีลังกาที่รับมาจากอินเดีย ช้างถือเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญทั้งในสงคราม เศรษฐกิจ และศาสนา 
เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวศรีลังกาจับช้างป่ามาฝึกใช้งานต่างๆ รวมทั้งในสงคราม เช่น ในพงศาวดารศรีลังกา ที่เล่าเรื่องของ เจ้าชายชาวสิงหล นามว่า ทุฏฐะคามินิ ทำการรบบนหลังช้าง หรือ ยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือพระเจ้าเอฬาระ กษัตริย์แห่งชาวทมิฬ นอกจากนี้ ในงานเฉลิมฉลองทางพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาของชาวสิงหล ก็ได้ใช้ช้างเข้าร่วมงาน นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน เช่น ขบวนแห่พระเขี้ยวแก้วที่กรุงแคนดี ก็ได้มีการประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วบนหลังช้างที่ถูกตบแต่งอย่างงดงาม โดยมีช้างร่วมขบวนนับร้อยเชือก




ช้างศรีลังกาเป็นหนึ่งในสี่สายพันธุ์ย่อยของช้างเอเชีย ซึ่งอีกสามสามพันธุ์คือ ช้างอินเดีย ช้างสุมาตรา และช้างบอร์เนียว โดยช้างศรีลังกาเป็นสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด มีส่วนสูงสิบฟุต และหนักเกือบหกตัน พื้นหนังสีเข้มกว่าช้างอื่นๆ
กษัตริย์ศรีลังกา ถือว่า ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองและมีการคุ้มครองตามกฎหมาย ขณะที่ประชาชนก็ให้ความนับถือเป็นสัตว์สำคัญตามความเชื่อ ทำให้ศรีลังกาเป็นเหมือนสวรรค์ของเหล่าช้างป่า โดยมีบันทึกว่า เมื่อชาวตะวันตกเข้ามาศรีลังกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 มีช้างป่าเกือบสามหมื่นตัวกระจายอยู่ทั่วเกาะ
ทว่า หายนะของช้างป่าศรีลังกา ก็มาถึง เมื่ออังกฤษได้เข้ายึดครองศรีลังกาเป็นอาณานิคมและนำพืชชนิดหนึ่งเข้ามา นั่นคือ ชา
ชา มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน โดยเมื่อเกือบห้าพันปีก่อน ชาวจีนได้นำใบชามาตากแห้งและต้มกับน้ำร้อน เป็นเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมหวน ที่อยู่คู่วัฒนธรรมจีนมานับพันปี กระทั่งเมื่อชาวตะวันตกได้ติดต่อค้าขายกับจีน ใบชาก็แพร่เข้าสู่ดินแดนตะวันตกและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับชาวอังกฤษ ทั้งในเกาะบริเตนและในอาณานิคมบนทวีปอเมริกาเหนือ
ความต้องการใบชาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้อังกฤษมองหาแหล่งผลิตชา และพื้นที่ที่เหมาะที่สุด ก็คือ ดินแดนศรีลังกา หรือที่ชาวอังกฤษ เรียกว่า ซีลอน (Ceylon)
ศรีลังกามีที่ราบสูงและพื้นที่เชิงเขาอยู่มาก มีน้ำและดินที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งภูมิอากาศก็เหมาะสมกับการเติบโตของใบชา  อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาเล็กๆ สำหรับการทำไร่ชาแสนสวยในซีลอน ปัญหาเล็กๆ ที่เรียกว่า ช้าง
ในช่วงที่อังกฤษยึดครองศรีลังกา ที่นี่อุดมด้วยสัตว์ป่านานาชนิด เป็นหนึ่งในสวรรค์ของนักกีฬาล่าสัตว์ชาวยุโรปที่ต้องการความแปลกใหม่ สัตว์ป่าของศรีลังกาที่นายพรานนิยมล่า ประกอบด้วย กวาง เสือดาว (บนเกาะนี้ไม่เสือโคร่ง) ควายป่า จระเข้ ทั้งนี้ บางครั้งก็มีเรื่องเล่าถึงการล่าของชาวผิวขาวที่นี่ ด้วยวิธีแปลกๆ เช่น การล่าจระเข้โดยใช้เด็กเป็นเหยื่อล่อ ซึ่งในหนังสือยุคนั้น เขียนว่า พรานจะเช่าเด็กหญิงอายุไม่เกินสามขวบจากพ่อแม่ชาวพื้นเมือง และนำเด็กมาผูกกับหลักริมน้ำ เสียงร้องและการเคลื่อนไหวของเด็กจะจูงใจให้จระเข้ขึ้นจากน้ำและคลานเข้ามา เป็นโอกาสให้นักล่าได้ยิงมัน ซึ่งหากเป็นจริง ก็นับว่าเป็นวิธีที่อำมหิตมาก
อย่างไรก็ตาม แม้กีฬาล่าสัตว์ในศรีลังกาจะเป็นที่นิยม แต่ช้างป่าก็ยังไม่ใช่เป้าหมาย  เนื่องจากช้างที่นี่ ส่วนใหญ่มีงาสั้นและเล็ก ไม่เหมาะที่เป็นรางวัลสำหรับการล่า (Trophy) จนเมื่อมีการบุกเบิกไร่ชา กระบอกปืนของนายพรานก็หันไปหาช้าง




      การที่ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ซึ่งกินพืชจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน พวกมันจึงกลายเป็นศัตรูของชาวไร่ชาวนาไปโดยปริยาย ทว่าในยุคที่ประชากรยังเบาบางและการทำกสิกรรมยังไม่บุกรุกพื้นที่ป่า ช้างป่ากับมนุษย์จึงยังอยู่ร่วมกันได้ แต่เมื่อการทำเกษตรเชิงเดี่ยวเพื่อป้อนตลาดขนาดยักษ์มาถึง ความขัดแย้งก็ปะทุขึ้น
 ในปี ค.ศ.1830 ยังคงมีช้างป่าอยู่ทั่วไปในศรีลังกา จนเมื่อชาวอังกฤษนำกาแฟเข้ามาปลูก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นปลูกชาในเวลาต่อมา ทำให้เกิดความต้องการใช้พื้นที่ราบสูงและเชิงเขาสำหรับทำไร่ชา รัฐบาลอาณานิคมจึงออกคำสั่งให้กวาดล้างช้างป่าในบริเวณดังกล่าว โดยในปี ค.ศ.1840 ทางการอังกฤษได้ตั้งรางวัลสำหรับการสังหารช้างป่า 5,500 ตัว พร้อมประกาศเชิญชวนพรานผิวขาวจากยุโรปให้มาล่าช้างที่ศรีลังกา
มีบันทึกว่า ครั้งหนึ่ง คณะพรานชาวยุโรปสี่คนได้ฆ่าช้าง 106ตัว ในสามวัน ขณะที่ แซมมวล เบเกอร์ พรานชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นนักสำรวจเลื่องชื่อ ผู้ไปยังต้นแม่น้ำไนล์ใจกลางทวีปแอฟริกา ได้บันทึกไว้ว่า ในเวลาเพียงสามวัน เขาได้สังหารช้างป่าไป 104 ตัว และตลอดสามปีที่อยู่ในศรีลังกา เบเกอร์ได้สังหารช้างไปมากกว่า 1,500 ตัว ขณะที่มีพรานผิวขาวอีกหลายคนที่ทำสถิติสังหารช้างป่าไม่น้อยกว่าคนละสี่ร้อยตัว ระหว่าง ค.ศ.1840 – ค.ศ.1850 และเมื่อถึงปี ค.ศ. 1850 ช้างป่าในศรีลังกาก็เหลืออยู่เพียงหมื่นกว่าตัว โดยมีช้างถูกสังหารไปมากกว่าหกสิบเปอร์เซนต์ในเวลาเพียงสิบปี และช้างก็ถูกกวาดล้างไปจากที่ราบสูงและเชิงเขาส่วนใหญ่ ซึ่งพื้นที่เหล่านั้นได้ถูกแปรสภาพเป็นไร่ชาขนาดมหึมา



ปลายศตวรรษที่19  การล่าช้างในศรีลังกา กลายเป็นที่นิยมของเหล่าพรานบรรดาศักดิ์จากยุโรป ซึ่งมีทั้ง นายทหาร ขุนนาง จนถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ขณะเดียวกัน การขยายพื้นที่ปลูกชาและกสิกรรมอื่นๆ ก็ทำลายที่อยู่ของช้างลงไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงทศวรรษที่ 1970 ช้างในศรีลังกา ก็เหลือไม่ถึงสองพันตัว พร้อมกับพื้นที่ป่าจำนวนมากที่หายไป
  ปัจจุบัน ช้างศรีลังกาได้รับการคุ้มครองในอุทยานแห่งชาติและมีการตั้งศูนย์อนุรักษ์ ทำให้ช้างป่ามีมากขึ้น เป็นราวหกพันกว่าตัว ทว่าประชากรของศรีลังกา ที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้ความขัดแย้งระหว่างช้างและมนุษย์ไม่อาจเลี่ยงได้ ซึ่งทุกวันนี้ ในแต่ละปี มีช้างถูกสังหารราวร้อยกว่าตัว ขณะที่มีมนุษย์เสียชีวิตจากการถูกช้างทำร้ายประมาณห้าสิบราย สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้อนาคตของช้างศรีลังกายังคงไม่แน่นอน

มนุษย์เอย...เราต่างเป็นเพื่อนร่วมโลก  เราต่างคนต่างอยู่ไม่เอาเปรียบกันจะดีไหม ? (ความเห็นส่วนตัวของเจ้าของบล็อก)

คัดลอกเนื้อหาจากเพจ   บันทึกธรรมชาติ  Nature Diary