คลังบทความของบล็อก

15 กรกฎาคม 2567

เรื่องสั้น ยํ่าไพร ตอน พรานกัญชา








เรื่องสั้นชุด ระทึกไพรกับไพรัช ตอน พรานกัญชา

           ฤดูฝน  หรือ "วัสสานฤดู" เป็นฤดูที่นักท่องไพรทุกคนสาปส่ง  เพราะงูหรืออสรพิษมีเกลื่อนป่า นี่ผมยังไม่นับพวกทากที่มีแทบทุกตารางนิ้วของผืนป่าใหญ่  ไอ้ครั้นจะหาเศษไม้มาทำเชื้อไฟหุงหาก็ยากเต็มที่  เนื้อไม้หรือเศษไม้เก่าในป่า  มักอมนํ้าหรือมีความชี้นสูงเพราะฝนในป่า  ผมระเห็จจากเมืองสัตหีบมาฝังกายในป่าตะวันออกเขตเมืองจันท์  ซึ่งเป็นป่ารอยต่อของสามจังหวัด  ชลบุรี จันทร์ และเมืองแปดริ้ว  ได้หลายวันแล้ว  ผมหลงคารมเพื่อนรุ่นพ่อวัยเก้าสิบเศษ  ชวนมาติดแหงกนั่งดูสายฝนที่ตกไม่หยุดมาหลายวันติดๆกันเสียยั่งงั๊นแหละ  คนปีม้าอย่างผม  ก็คล้ายคนเกิดปีลิง  ไอ้เรื่องจะให้มานั่งสงบนื่งเป็นฤษีชีไพรนั้น  หาเป็นได้ยากยิ่ง  เช้าวันนี้ผมจึงเตรียมมุ่งหน้าไปหาสหายเก่าแถบป่าวัดเขาพริก  ในเขตแดนป่าเมืองแปดริ้วโน่นแหละ  ระยะทางเกือบยี่สิบกิโล  คงใช้เวลาเดินเท้าไม่ตํ่ากว่าเจ็ดแปดชั่วโมง  อาวุธ เสื้อคลุมพลาสติกกันฝน และข้าวเหนียวหมูย่าง พร้อมสำหรับการท่องป่าในวันนี้  

         อรุณรุ่งของวันนี้ สายฝนยังโปรยปรายมาอย่างอ่อนโยน  อุณหภูมิประมาณ18°C ฝนในป่าไม่เหมือนฝนในเมือง  ฝนในป่าตกแล้วยากที่จะหยุด ผมเดินเลาะชายขอบสวนปาล์มนํ้ามัน  มาทะลุไร่ฟักทองแปลงใหญ่ของผู้ใดก็ไม่ทราบ ปรากฏร่องรอยของหมูป่าฝูงใหญ่ พากันมากัดกินผลฟักทองจนกลาดเกลื่อนเสียหายหลายแปลง มีร่องรอยตีแปลงนอนเกลือกกลิ้งบนผิวดินหลายแห่ง  นกต้อยตี้วิดหลายตัวบินโฉบไปมา ส่งเสียงร้องลั่นเมื่อพบเห็นคนแปลกหน้าอย่างผมเยื้องกาย ผมลัดเลาะเพื่อให้พ้นไร่ฟักทองลงมาทางทิศตะวันออก  เดินฝ่าป่าไร่ซากเก่าๆมาได้ชั่วโมงเศษ  เบี้องหน้าของผมเป็นกระต๊อบเก่าๆ  ควันไฟกลมกลืนไปกับสายหมอก พวยพุ่งจากหม้อหุงหาแบบใช้ไม้ฟืน ตลบซ้ายขวาตามกระแสลม  กลิ่นกัญชาลอยมาเตะจมูกผมอย่างจัง  ชายวัยสี่สิบเศษกำลังบรรจงพ่นควันอย่างเคลิบเคลิ้ม  หมาบ้านตัวผอมจนเห็นซี่โครงเห่ากรรโชกเมื่อเจอคนแปลกหน้า  ชายเจ้าชองบ้านตกใจจนละจากบ้องกัญชา นั่นหมายถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงศ์ที่พวกกำลังปีนป่ายอยู่ มลายหายวับพร้อมกันไปด้วย  เสียงก่นด่าหมาเห่าจนมันเพลาเสียงลงอย่างหงอยเหงา  เขาทำท่าทางแปลกใจเมื่อพบผม  ปืนแก๊ปรุ่นพระเจ้าเหาที่ข้างกาย พลันสถิตย์มาอยู่ในมือแทนบ้องกัญชาอย่างฉับพลัน  เขาจ้องปลายกระบอกปืน นิ้วชี้ของเขาคาอยู่ในโกร่งไกแล้ว  

         "เฮ๊ย! นี่เราเอง  จำไม่ได้หรือว๊ะ รัชไงเว๊ยเฮ๊ย "

         หมอนั่นจ้องหน้าผมแบบฉงน ฉงาย คล้ายไม่แน่ใจ  ผมโล่งอกไปที เมื่อเห็นหมอนั่นวางปืนลงพร้อมส่งยิ้มมาให้  หมอยกมือเกาหัวแกรกๆจนขี้รังแคฟุ้งกระจายเคล้าไปกับสายควันจากหม้อหุงหา  

         " โธ่! ไอ้ผมก็คิดว่าใคร  ที่แท้เฮียนี่เอง" 

         "เออ เราเองแหละ "  

         ผมยังไม่ละสายตาไปจากอาวุธปืน รุ่นท่านเจ้าคุณทวดของมัน  จากประสบการณ์เก่าๆ มันสอนผมว่า อย่าไว้ใจในพฤติกรรมบ้าๆของนักสารพัดเสพของจำพวกนี้เด็ดขาด  มันไม่เสมอไปหรอก  ว่าพวกเสพกัญชาแล้วจะอารมณ์ดีกันทุกคน  ผมเคยเเห็นคนเมากัญชา คว้าปืนมายิงหิ่งห้อยจนป่าแตกมาแล้ว  พวกเถียงจนเบ้าตาแทบทะลักว่า  ที่ยิงจนหมดแม็กซ์นั้น พวกไม่ได้ยิงหิ้งห้อย แต่พวกยิงผีป่าต่างหาก แถมถามกลับว่า พวกเราไม่เห็นกันหรือ ?  พวกว่างั๊น  จนเฮียสมพงษ์ผู้อาวุโสสุด เห็นท่าจะไม่ปลอดภัยสำหรับทีมล่องป่าคนอื่นๆ  เพราะกระสุนปืนมันไม่มีลูกกะตา  ยิ่งอยู่ในมือคนบ้ากัญชาผสมเหล้าป่าด้วยแลัว  ยิ่งน่ากลัว  เฮียแกมองหน้าผมแล้วกระพริบตาให้ผมอย่างเป็นนัย  พานท้ายปืนไรเฟิลในมือของผม กระแทกไปที่ก้านคอของหมอนั่นอย่างเหมาะเหม็ง จนเสียงดังลั่นป่า  พวกล้มทั้งยืนเหมือนถูกปิดสวิตช์ไฟฟ้า  เหล่าสมาชิกชาวล่องป่าหันมาจ้องหน้าผม  คล้ายปุจฉาว่ามันจะตายไหม? เฮียสมพงษ์รีบเข้ามายืนยันว่า ไม่ต้องห่วง   เรามารู้กันภายหลังว่า  หมอนี่เป็นไข้ป่าในระยะเริ่มต้น  หมอกินยาทัมใจแถมดูดกัญชาเข้าด้วย  เฮียสมพงษ์พี่ใหญ่บ่นให้ผมฟังว่า  

         " อั๊วไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมไอ้นี่มันจึงบ้า" 

         " ไอ้นี่...ของ เฮียสมพงษ์  ก็คือไอ้นี่ ที่ผมโผล่มาทักทายมัน  ในยามเช้าของวันนี้แหละครับ  ฮาๆๆๆ " 


 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น