เรื่องสั้นชุด ระทึกไพรกับไพรัช ตอน พรานกัญชา
ฤดูฝน หรือ "วัสสานฤดู" เป็นฤดูที่นักท่องไพรทุกคนสาปส่ง เพราะงูหรืออสรพิษมีเกลื่อนป่า นี่ผมยังไม่นับพวกทากที่มีแทบทุกตารางนิ้วของผืนป่าใหญ่ ไอ้ครั้นจะหาเศษไม้มาทำเชื้อไฟหุงหาก็ยากเต็มที่ เนื้อไม้หรือเศษไม้เก่าในป่า มักอมนํ้าหรือมีความชี้นสูงเพราะฝนในป่า ผมระเห็จจากเมืองสัตหีบมาฝังกายในป่าตะวันออกเขตเมืองจันท์ ซึ่งเป็นป่ารอยต่อของสามจังหวัด ชลบุรี จันทร์ และเมืองแปดริ้ว ได้หลายวันแล้ว ผมหลงคารมเพื่อนรุ่นพ่อวัยเก้าสิบเศษ ชวนมาติดแหงกนั่งดูสายฝนที่ตกไม่หยุดมาหลายวันติดๆกันเสียยั่งงั๊นแหละ คนปีม้าอย่างผม ก็คล้ายคนเกิดปีลิง ไอ้เรื่องจะให้มานั่งสงบนื่งเป็นฤษีชีไพรนั้น หาเป็นได้ยากยิ่ง เช้าวันนี้ผมจึงเตรียมมุ่งหน้าไปหาสหายเก่าแถบป่าวัดเขาพริก ในเขตแดนป่าเมืองแปดริ้วโน่นแหละ ระยะทางเกือบยี่สิบกิโล คงใช้เวลาเดินเท้าไม่ตํ่ากว่าเจ็ดแปดชั่วโมง อาวุธ เสื้อคลุมพลาสติกกันฝน และข้าวเหนียวหมูย่าง พร้อมสำหรับการท่องป่าในวันนี้
อรุณรุ่งของวันนี้ สายฝนยังโปรยปรายมาอย่างอ่อนโยน อุณหภูมิประมาณ18°C ฝนในป่าไม่เหมือนฝนในเมือง ฝนในป่าตกแล้วยากที่จะหยุด ผมเดินเลาะชายขอบสวนปาล์มนํ้ามัน มาทะลุไร่ฟักทองแปลงใหญ่ของผู้ใดก็ไม่ทราบ ปรากฏร่องรอยของหมูป่าฝูงใหญ่ พากันมากัดกินผลฟักทองจนกลาดเกลื่อนเสียหายหลายแปลง มีร่องรอยตีแปลงนอนเกลือกกลิ้งบนผิวดินหลายแห่ง นกต้อยตี้วิดหลายตัวบินโฉบไปมา ส่งเสียงร้องลั่นเมื่อพบเห็นคนแปลกหน้าอย่างผมเยื้องกาย ผมลัดเลาะเพื่อให้พ้นไร่ฟักทองลงมาทางทิศตะวันออก เดินฝ่าป่าไร่ซากเก่าๆมาได้ชั่วโมงเศษ เบี้องหน้าของผมเป็นกระต๊อบเก่าๆ ควันไฟกลมกลืนไปกับสายหมอก พวยพุ่งจากหม้อหุงหาแบบใช้ไม้ฟืน ตลบซ้ายขวาตามกระแสลม กลิ่นกัญชาลอยมาเตะจมูกผมอย่างจัง ชายวัยสี่สิบเศษกำลังบรรจงพ่นควันอย่างเคลิบเคลิ้ม หมาบ้านตัวผอมจนเห็นซี่โครงเห่ากรรโชกเมื่อเจอคนแปลกหน้า ชายเจ้าชองบ้านตกใจจนละจากบ้องกัญชา นั่นหมายถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงศ์ที่พวกกำลังปีนป่ายอยู่ มลายหายวับพร้อมกันไปด้วย เสียงก่นด่าหมาเห่าจนมันเพลาเสียงลงอย่างหงอยเหงา เขาทำท่าทางแปลกใจเมื่อพบผม ปืนแก๊ปรุ่นพระเจ้าเหาที่ข้างกาย พลันสถิตย์มาอยู่ในมือแทนบ้องกัญชาอย่างฉับพลัน เขาจ้องปลายกระบอกปืน นิ้วชี้ของเขาคาอยู่ในโกร่งไกแล้ว
"เฮ๊ย! นี่เราเอง จำไม่ได้หรือว๊ะ รัชไงเว๊ยเฮ๊ย "
หมอนั่นจ้องหน้าผมแบบฉงน ฉงาย คล้ายไม่แน่ใจ ผมโล่งอกไปที เมื่อเห็นหมอนั่นวางปืนลงพร้อมส่งยิ้มมาให้ หมอยกมือเกาหัวแกรกๆจนขี้รังแคฟุ้งกระจายเคล้าไปกับสายควันจากหม้อหุงหา
" โธ่! ไอ้ผมก็คิดว่าใคร ที่แท้เฮียนี่เอง"
"เออ เราเองแหละ "
ผมยังไม่ละสายตาไปจากอาวุธปืน รุ่นท่านเจ้าคุณทวดของมัน จากประสบการณ์เก่าๆ มันสอนผมว่า อย่าไว้ใจในพฤติกรรมบ้าๆของนักสารพัดเสพของจำพวกนี้เด็ดขาด มันไม่เสมอไปหรอก ว่าพวกเสพกัญชาแล้วจะอารมณ์ดีกันทุกคน ผมเคยเเห็นคนเมากัญชา คว้าปืนมายิงหิ่งห้อยจนป่าแตกมาแล้ว พวกเถียงจนเบ้าตาแทบทะลักว่า ที่ยิงจนหมดแม็กซ์นั้น พวกไม่ได้ยิงหิ้งห้อย แต่พวกยิงผีป่าต่างหาก แถมถามกลับว่า พวกเราไม่เห็นกันหรือ ? พวกว่างั๊น จนเฮียสมพงษ์ผู้อาวุโสสุด เห็นท่าจะไม่ปลอดภัยสำหรับทีมล่องป่าคนอื่นๆ เพราะกระสุนปืนมันไม่มีลูกกะตา ยิ่งอยู่ในมือคนบ้ากัญชาผสมเหล้าป่าด้วยแลัว ยิ่งน่ากลัว เฮียแกมองหน้าผมแล้วกระพริบตาให้ผมอย่างเป็นนัย พานท้ายปืนไรเฟิลในมือของผม กระแทกไปที่ก้านคอของหมอนั่นอย่างเหมาะเหม็ง จนเสียงดังลั่นป่า พวกล้มทั้งยืนเหมือนถูกปิดสวิตช์ไฟฟ้า เหล่าสมาชิกชาวล่องป่าหันมาจ้องหน้าผม คล้ายปุจฉาว่ามันจะตายไหม? เฮียสมพงษ์รีบเข้ามายืนยันว่า ไม่ต้องห่วง เรามารู้กันภายหลังว่า หมอนี่เป็นไข้ป่าในระยะเริ่มต้น หมอกินยาทัมใจแถมดูดกัญชาเข้าด้วย เฮียสมพงษ์พี่ใหญ่บ่นให้ผมฟังว่า
" อั๊วไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมไอ้นี่มันจึงบ้า"
" ไอ้นี่...ของ เฮียสมพงษ์ ก็คือไอ้นี่ ที่ผมโผล่มาทักทายมัน ในยามเช้าของวันนี้แหละครับ ฮาๆๆๆ "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น