คลังบทความของบล็อก

2 สิงหาคม 2563

ชา กับ การสังหารหมู่ช้าง




 ศรีลังกาเป็นเกาะตั้งอยู่ตอนปลายของอนุทวีปอินเดีย ประชากรหลักคือ ชาวสิงหล โดยมีชาวทมิฬ เป็นชน กลุ่มน้อยอยู่ทางตอนเหนือ นอกจากนี้ยังมีชนพื้นเมือง อื่นๆ อีกหลายกลุ่ม
 ในวัฒนธรรมของศรีลังกาที่รับมาจากอินเดีย ช้างถือเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญทั้งในสงคราม เศรษฐกิจ และศาสนา 
เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวศรีลังกาจับช้างป่ามาฝึกใช้งานต่างๆ รวมทั้งในสงคราม เช่น ในพงศาวดารศรีลังกา ที่เล่าเรื่องของ เจ้าชายชาวสิงหล นามว่า ทุฏฐะคามินิ ทำการรบบนหลังช้าง หรือ ยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือพระเจ้าเอฬาระ กษัตริย์แห่งชาวทมิฬ นอกจากนี้ ในงานเฉลิมฉลองทางพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาของชาวสิงหล ก็ได้ใช้ช้างเข้าร่วมงาน นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน เช่น ขบวนแห่พระเขี้ยวแก้วที่กรุงแคนดี ก็ได้มีการประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วบนหลังช้างที่ถูกตบแต่งอย่างงดงาม โดยมีช้างร่วมขบวนนับร้อยเชือก




ช้างศรีลังกาเป็นหนึ่งในสี่สายพันธุ์ย่อยของช้างเอเชีย ซึ่งอีกสามสามพันธุ์คือ ช้างอินเดีย ช้างสุมาตรา และช้างบอร์เนียว โดยช้างศรีลังกาเป็นสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด มีส่วนสูงสิบฟุต และหนักเกือบหกตัน พื้นหนังสีเข้มกว่าช้างอื่นๆ
กษัตริย์ศรีลังกา ถือว่า ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองและมีการคุ้มครองตามกฎหมาย ขณะที่ประชาชนก็ให้ความนับถือเป็นสัตว์สำคัญตามความเชื่อ ทำให้ศรีลังกาเป็นเหมือนสวรรค์ของเหล่าช้างป่า โดยมีบันทึกว่า เมื่อชาวตะวันตกเข้ามาศรีลังกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 มีช้างป่าเกือบสามหมื่นตัวกระจายอยู่ทั่วเกาะ
ทว่า หายนะของช้างป่าศรีลังกา ก็มาถึง เมื่ออังกฤษได้เข้ายึดครองศรีลังกาเป็นอาณานิคมและนำพืชชนิดหนึ่งเข้ามา นั่นคือ ชา
ชา มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน โดยเมื่อเกือบห้าพันปีก่อน ชาวจีนได้นำใบชามาตากแห้งและต้มกับน้ำร้อน เป็นเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมหวน ที่อยู่คู่วัฒนธรรมจีนมานับพันปี กระทั่งเมื่อชาวตะวันตกได้ติดต่อค้าขายกับจีน ใบชาก็แพร่เข้าสู่ดินแดนตะวันตกและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับชาวอังกฤษ ทั้งในเกาะบริเตนและในอาณานิคมบนทวีปอเมริกาเหนือ
ความต้องการใบชาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้อังกฤษมองหาแหล่งผลิตชา และพื้นที่ที่เหมาะที่สุด ก็คือ ดินแดนศรีลังกา หรือที่ชาวอังกฤษ เรียกว่า ซีลอน (Ceylon)
ศรีลังกามีที่ราบสูงและพื้นที่เชิงเขาอยู่มาก มีน้ำและดินที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งภูมิอากาศก็เหมาะสมกับการเติบโตของใบชา  อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาเล็กๆ สำหรับการทำไร่ชาแสนสวยในซีลอน ปัญหาเล็กๆ ที่เรียกว่า ช้าง
ในช่วงที่อังกฤษยึดครองศรีลังกา ที่นี่อุดมด้วยสัตว์ป่านานาชนิด เป็นหนึ่งในสวรรค์ของนักกีฬาล่าสัตว์ชาวยุโรปที่ต้องการความแปลกใหม่ สัตว์ป่าของศรีลังกาที่นายพรานนิยมล่า ประกอบด้วย กวาง เสือดาว (บนเกาะนี้ไม่เสือโคร่ง) ควายป่า จระเข้ ทั้งนี้ บางครั้งก็มีเรื่องเล่าถึงการล่าของชาวผิวขาวที่นี่ ด้วยวิธีแปลกๆ เช่น การล่าจระเข้โดยใช้เด็กเป็นเหยื่อล่อ ซึ่งในหนังสือยุคนั้น เขียนว่า พรานจะเช่าเด็กหญิงอายุไม่เกินสามขวบจากพ่อแม่ชาวพื้นเมือง และนำเด็กมาผูกกับหลักริมน้ำ เสียงร้องและการเคลื่อนไหวของเด็กจะจูงใจให้จระเข้ขึ้นจากน้ำและคลานเข้ามา เป็นโอกาสให้นักล่าได้ยิงมัน ซึ่งหากเป็นจริง ก็นับว่าเป็นวิธีที่อำมหิตมาก
อย่างไรก็ตาม แม้กีฬาล่าสัตว์ในศรีลังกาจะเป็นที่นิยม แต่ช้างป่าก็ยังไม่ใช่เป้าหมาย  เนื่องจากช้างที่นี่ ส่วนใหญ่มีงาสั้นและเล็ก ไม่เหมาะที่เป็นรางวัลสำหรับการล่า (Trophy) จนเมื่อมีการบุกเบิกไร่ชา กระบอกปืนของนายพรานก็หันไปหาช้าง




      การที่ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ซึ่งกินพืชจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน พวกมันจึงกลายเป็นศัตรูของชาวไร่ชาวนาไปโดยปริยาย ทว่าในยุคที่ประชากรยังเบาบางและการทำกสิกรรมยังไม่บุกรุกพื้นที่ป่า ช้างป่ากับมนุษย์จึงยังอยู่ร่วมกันได้ แต่เมื่อการทำเกษตรเชิงเดี่ยวเพื่อป้อนตลาดขนาดยักษ์มาถึง ความขัดแย้งก็ปะทุขึ้น
 ในปี ค.ศ.1830 ยังคงมีช้างป่าอยู่ทั่วไปในศรีลังกา จนเมื่อชาวอังกฤษนำกาแฟเข้ามาปลูก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นปลูกชาในเวลาต่อมา ทำให้เกิดความต้องการใช้พื้นที่ราบสูงและเชิงเขาสำหรับทำไร่ชา รัฐบาลอาณานิคมจึงออกคำสั่งให้กวาดล้างช้างป่าในบริเวณดังกล่าว โดยในปี ค.ศ.1840 ทางการอังกฤษได้ตั้งรางวัลสำหรับการสังหารช้างป่า 5,500 ตัว พร้อมประกาศเชิญชวนพรานผิวขาวจากยุโรปให้มาล่าช้างที่ศรีลังกา
มีบันทึกว่า ครั้งหนึ่ง คณะพรานชาวยุโรปสี่คนได้ฆ่าช้าง 106ตัว ในสามวัน ขณะที่ แซมมวล เบเกอร์ พรานชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นนักสำรวจเลื่องชื่อ ผู้ไปยังต้นแม่น้ำไนล์ใจกลางทวีปแอฟริกา ได้บันทึกไว้ว่า ในเวลาเพียงสามวัน เขาได้สังหารช้างป่าไป 104 ตัว และตลอดสามปีที่อยู่ในศรีลังกา เบเกอร์ได้สังหารช้างไปมากกว่า 1,500 ตัว ขณะที่มีพรานผิวขาวอีกหลายคนที่ทำสถิติสังหารช้างป่าไม่น้อยกว่าคนละสี่ร้อยตัว ระหว่าง ค.ศ.1840 – ค.ศ.1850 และเมื่อถึงปี ค.ศ. 1850 ช้างป่าในศรีลังกาก็เหลืออยู่เพียงหมื่นกว่าตัว โดยมีช้างถูกสังหารไปมากกว่าหกสิบเปอร์เซนต์ในเวลาเพียงสิบปี และช้างก็ถูกกวาดล้างไปจากที่ราบสูงและเชิงเขาส่วนใหญ่ ซึ่งพื้นที่เหล่านั้นได้ถูกแปรสภาพเป็นไร่ชาขนาดมหึมา



ปลายศตวรรษที่19  การล่าช้างในศรีลังกา กลายเป็นที่นิยมของเหล่าพรานบรรดาศักดิ์จากยุโรป ซึ่งมีทั้ง นายทหาร ขุนนาง จนถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ขณะเดียวกัน การขยายพื้นที่ปลูกชาและกสิกรรมอื่นๆ ก็ทำลายที่อยู่ของช้างลงไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงทศวรรษที่ 1970 ช้างในศรีลังกา ก็เหลือไม่ถึงสองพันตัว พร้อมกับพื้นที่ป่าจำนวนมากที่หายไป
  ปัจจุบัน ช้างศรีลังกาได้รับการคุ้มครองในอุทยานแห่งชาติและมีการตั้งศูนย์อนุรักษ์ ทำให้ช้างป่ามีมากขึ้น เป็นราวหกพันกว่าตัว ทว่าประชากรของศรีลังกา ที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้ความขัดแย้งระหว่างช้างและมนุษย์ไม่อาจเลี่ยงได้ ซึ่งทุกวันนี้ ในแต่ละปี มีช้างถูกสังหารราวร้อยกว่าตัว ขณะที่มีมนุษย์เสียชีวิตจากการถูกช้างทำร้ายประมาณห้าสิบราย สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้อนาคตของช้างศรีลังกายังคงไม่แน่นอน

มนุษย์เอย...เราต่างเป็นเพื่อนร่วมโลก  เราต่างคนต่างอยู่ไม่เอาเปรียบกันจะดีไหม ? (ความเห็นส่วนตัวของเจ้าของบล็อก)

คัดลอกเนื้อหาจากเพจ   บันทึกธรรมชาติ  Nature Diary

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น