คลังบทความของบล็อก

9 มกราคม 2563

หนี้ศักดิ์สิทธิ์



ภาพประกอบจาก google


เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๐) ตอนที่ยังไม่ได้บวช อาตมาเชื่อว่าปัญญาเกิดจากประสบการณ์ จึงเดินทางออกจากบ้านเกิดเมืองนอนที่ประเทศอังกฤษ ระเหเร่ร่อนหาประสบการณ์ชีวิตทางยุโรปและเอเชีย ยิ่งลำบากยิ่งชอบ เพราะรู้สึกว่าความลำเค็ญช่วยให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นกำไรชีวิต
.
แต่การเดินทางไปอินเดียผิดหวังนิดหน่อย ไม่ได้ท้าทายอย่างที่คาดหวัง ขากลับจึงตัดสินใจลองเดินทางจากประเทศปากีสถานไปยังอังกฤษโดยไม่ใช้เงิน โบกรถไปเรื่อยๆ อยากจะรู้ว่าเป็นไปได้ไหม อยากจะทราบความรู้สึกของผู้ไม่มีอะไรอย่างลึกซึ้ง
.
ผจญภัยเยอะเหมือนกัน และผ่านเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืม อย่างเช่น พอถึงเตหรานเมืองหลวงของประเทศอิหร่าน รู้สึกจะหมดแรงแล้ว ผอมแห้งบักโกรก เสื้อผ้าก็มอมแมมกระดำกระด่าง คงดูน่าเกลียดพอสมควร เห็นหน้าในกระจกห้องน้ำสาธารณะก็ตกใจ ส่วนใจก็เป็นเปรตมากขึ้นทุกวัน กังวลหมกมุ่นแต่ในเรื่องอาหารการกิน วันนี้เราจะมีอะไรทานไหมหนอ? แต่ละวันท้องจะอิ่มจะว่างก็แล้วแต่น้ำใจของเพื่อนมนุษย์ เราจำเป็นต้องพึ่งบารมี เพราะไม่มีอย่างอื่น
.
พอดีเจอผู้ชายอิหร่านคนหนึ่ง เขาคงสงสารและอยากฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วย เขาจึงพาไปกินน้ำชา แล้วให้สตางค์ไปเล็กๆ น้อยๆ กลางคืนพักข้างถนน ในซอยเงียบ กลัวว่าตำรวจเห็นจะซ้อม รุ่งเช้าเดินไปร้านขายซุปแห่งหนึ่ง ซึ่งจำได้ว่าซื้อซุปหนึ่งจานแล้วเขาให้ขนมปังฟรี ในขณะที่กำลังเดินไปโดยพยายามไม่มองร้านอาหารข้างทางที่ดึงดูดตาเหลือเกิน ไม่ดมกลิ่นหอมที่โชยออกมา เราได้สวนทางกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเห็นเราแล้วเขาก็หยุดชะงัก จ้องมองเราอย่างตะลึง สักพักหนึ่งแล้วเดินตรงมาหาหน้าบูดบึ้ง แล้วสั่งให้ตามเขาไปโดยใช้ภาษามือ เราเป็นนักแสวงหาเลยยอมตามไป เดินไปสักสิบนาทีก็ถึงตึกแถว ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นที่สี่ สันนิษฐานว่าคงเป็นบ้านเขา แต่เขาไม่พูดไม่จาอะไรเลย ยิ้มก็ไม่ยิ้ม หน้าถมึงทึงตลอด
.
พอเปิดประตูเข้าไปปรากฏว่าเป็นบ้านของผู้หญิงคนนี้จริงๆ เขาพาเข้าห้องครัวชี้ไปที่เก้าอี้ให้นั่ง นั่งแล้วเขาเอาอาหารมาให้ทานหลายๆ อย่าง อาตมารู้สึกเหมือนกับขึ้นสวรรค์ ทำให้รู้ว่าอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกคือ อาหารที่ทานในขณะที่หิวและท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เขาเรียกลูกชายมา สั่งอะไรก็ไม่รู้เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่สังเกตว่าลูกดูจะอายุไล่เลี่ยกับเรา สักพักใหญ่ลูกชายก็กลับมาด้วยกางเกงและเสื้อเชิ้ตชุดหนึ่ง พอเห็นว่าเราอิ่มหนำสำราญแล้วก็ชี้ไปที่ห้องน้ำ สั่งให้อาบน้ำเปลี่ยนผ้าชุดใหม่ (ของเก่าน่ากลัวเอาไปเผา) เขาไม่ยิ้ม ไม่แย้ม ไม่พูดจาอะไรเลย มีแต่สั่งอย่างเดียว ขณะอาบน้ำอยู่ก็คิดสันนิษฐานว่า แม่คนนี้อาจเห็นอาตมาแล้ววาดภาพนึกถึงลูกชายเขาเองว่า ถ้าสมมุติว่าลูกเราเดินทางไปต่างประเทศแล้วตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้ อยู่ในสภาพน่าสมเพชอย่างนี้มันจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นอาตมาจึงคิดว่าเขาช่วยเราด้วยความรักของแม่ เลยคิดแต่งตั้งเขาเป็นแม่กิตติมศักดิ์ประจำเมืองอิหร่าน ยืนยิ้มหน้าบานอยู่ในห้องน้ำคนเดียว
.
เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปส่งเราตรงจุดที่ได้เจอกัน แล้วเดินลุยเข้าไปในกระแสชาวเมืองที่กำลังเดินไปทำงาน อาตมายืนมองผู้หญิงอิหร่านคนนั้นถูกหมู่ชนกลืนไป รู้อย่างแม่นยำว่า ชาตินี้คงไม่มีวันลืมเขาได้ อาตมาประทับใจและซาบซึ้งมาก น้ำตาทำท่าจะไหลคลอ เขาให้เราทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย ตัวสูงๆ ผอมๆ เหมือนไม้เสียบผีจากป่าช้าที่ไหนก็ไม่รู้ เสื้อผ้าก็เหม็นสกปรก ผมก็ยาวรกรุงรัง แต่เขากลับไม่รังเกียจเลย มิหนำซ้ำยังพาเราไปที่บ้านและดูแลเหมือนเราเป็นลูกของเขาเองโดยไม่หวังอะไรตอบแทนจากเราเลยแม้แต่การขอบคุณ เวลาผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว (พิมพ์พ.ศ. ๒๕๔๐) อาตมาจึงอยากประกาศคุณของพระโพธิสัตว์หน้าบูดคนนี้ ให้ทุกคนได้ทราบว่า แม้ในเมืองใหญ่ๆ ก็ยังมีคนดีและอาจมีมากกว่าที่เราคิด
.
ไม่ใช่เพียงแค่นี้คนเดียว ตอนสมัยที่อาตมาแสวงหาประสบการณ์ชีวิตนั้น ได้รับความเมตตาอารีความช่วยเหลือเจือจานจากคนหลายๆ ชาติ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ขออะไรจากใคร ทำให้ตั้งใจว่ามีโอกาสเมื่อไรต้องช่วยเหลือคนอื่นบ้าง ต้องมีส่วนในการสืบอายุของน้ำใจในหมู่มนุษย์ แม้สังคมทั่วไปจะอัตคัดกันดารคุณงามความดีเพียงไร แต่ขอให้เราพยายาม เป็นแหล่งเขียวเล็กๆ แก่เพื่อนร่วมโลกก็ยังดี
.
ต่อมาอาตมาได้กลับไปอยู่อินเดียอีกครั้งหนึ่ง พักปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์สายฮินดูองค์หนึ่งท่านน่าเลื่อมใสมาก มีข้อวัตรปฏิบัติคล้ายกับของพุทธ อยู่กับท่านมีเวลานั่งคิดไตร่ตรองชีวิตของตนเองมาก ตอนบ่ายชอบเดินขึ้นเขาไปนั่งใต้ต้นไม้เก่าแก่ท่ามกลางสายลม ดูทะเลสาบข้างล่างและทะเลทรายที่เหยียดยาวออกไปถึงขอบฟ้า ความคิดก็ปลอดโปร่งดี แล้ววันหนึ่งก็นั่งนึกแปลกใจตัวเองว่า เมื่อไหร่ที่เราระลึกในความมีน้ำใจของผู้ที่เคยเกื้อกูลการเดินทางของเรา ให้อาหารบ้าง ให้ที่พักสักคืนสองคืนบ้าง เราจะรู้สึกทึ่งทุกครั้ง แต่ทำไม พ่อแม่เลี้ยงเรามา ๑๘ ปี ให้อาหารทุกวันไม่เคยขาด วันละสามมื้อบ้าง สี่มื้อบ้าง และยังเป็นห่วงว่าจะไม่ถูกปากเราอีก ท่านให้ทั้งเสื้อผ้าและที่นอน ยามป่วยไข้ท่านก็พาไปหาหมอ และเหมือนว่าท่านจะเป็นทุกข์มากกว่าเราเสียอีก ทำไมเราไม่เคยซึ้งในเรื่องนี้เลย? มันไม่ยุติธรรมและน่าละอาย สำนึกตัวว่าประมาทเหลือเกิน ในขณะนั้นเหมือนเขื่อนพัง ตัวอย่างความดีของพ่อแม่ไหลทะลักเข้ามาในจิตจนตื้นตันใจมาก นี่คือจุดเริ่มต้นของการรู้จักบุญคุณของพ่อแม่ในชีวิตของอาตมา
.
เราคิดต่อไปว่า ตอนคุณแม่ท้องก็คงลำบาก ในช่วงแรกคงแพ้ท้อง ต่อมาการเดิน การเหิน การเคลื่อนไหวทุกประเภทคงไม่สะดวกไปหมด ปวดเมื่อย แต่ท่านก็ยอม เพราะเชื่อว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นมีความหมาย และความหมายนั้น คือ เรา
.
ตอนเด็กเราต้องอาศัยท่านหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทำไมเรารู้สึกเฉยๆ เหมือนกับว่าเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องให้และเป็นสิทธิของเราที่จะรับ ต่อมาเลยสำนึกว่า ที่มีโอกาสปฏิบัติธรรมเป็นที่พึ่งของตน ก็อาศัยที่ว่า คุณพ่อคุณแม่เคยเป็นที่พึ่งอันมั่นคงแก่เราในกาลก่อน ทำให้จิตใจเรามีฐานที่เข้มแข็งพอที่จะสู้กับกิเลสของเราได้
.
เมื่ออายุ ๒๐ ปี อาตมาเดินทางมาเมืองไทย เพื่อบวชในบวรพระพุทธศาสนา โยมพ่อโยมแม่ก็ไม่ขัดข้อง เพราะต้องการให้ลูกดำเนินชีวิตในทางที่พอใจ และมีความสุข ได้ชนะความหวังส่วนตัวในใจของท่านปีที่แล้วนี้เองที่โยมแม่สารภาพกับอาตมาว่า วันที่ลูกจากบ้านไปเป็นวันที่แม่เศร้าโศกที่สุดในชีวิต อาตมาประทับใจมากที่ท่านพูดอย่างนั้น แต่ที่ประทับใจยิ่งกว่านั้นคือ การที่โยมแม่อดทน ไม่พูดให้เราทราบความทุกข์นี้ตั้ง ๒๐ ปี เพราะกลัวเราจะไม่สบายใจ
.
พอบวชแล้ว บางครั้งอดที่จะตำหนิตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ตอนอยู่กับพ่อแม่มีโอกาสตอบแทนบุญคุณท่านทุกวันแต่ไม่ค่อยได้ทำอะไร เดี๋ยวนี้อยากทำแต่ทำไม่ได้ เพราะอยู่ห่างไกลและเป็นพระ จึงรู้สึกเสียดาย ต้องตั้งใจแผ่เมตตาแก่ท่านทุกวัน
.
ในภาษาอังกฤษคำว่า “บุญคุณของพ่อแม่” ไม่มี ที่เมืองนอกความรักและความผูกพันระหว่างพ่อแม่กับลูกมีอยู่เหมือนกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความรู้สึกว่าสมาชิกครอบครัวมีหน้าที่ต่อกันมีน้อยกว่าที่นี่ ชาวตะวันตกชอบเป็นตัวของตัวเอง ไม่ชอบการก้าวก่าย ไม่ค่อยเชื่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความลึกลับอะไร ไม่เห็นว่าพ่อแม่มีสิทธิ์อะไรพิเศษที่จะได้กำหนดแนวทางชีวิตของลูก....
.
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ลูกคนไหนเชิญคุณพ่อคุณแม่ไปนั่งบนบ่าคนละข้าง แล้วแบกไปแบกมาตลอดร้อยปี อาบน้ำนวดเส้นให้ท่าน แม้จนกระทั่งปล่อยให้ถ่ายปัสสาวะและอุจจาระราดบ่า หรือไม่อย่างนั้นมอบเงินให้ท่านเป็นจำนวนล้านหรือสิบๆ ล้าน ตั้งท่านไว้ในตำแหน่งมีเกียรติยศและอำนาจ ทำถึงขนาดนี้ก็ยังยากที่จะตอบแทนบุญคุณท่านได้หมด
.
แต่ว่าลูกคนใดสามารถปลูกฝังหรือชักนำให้พ่อแม่ผู้ไม่มีศรัทธาในหลักธรรม หรือมีศรัทธาน้อยได้มีศรัทธามากขึ้น พ่อแม่ผู้ไม่มีศีลหรือมีศีลที่ขาดตกบกพร่องได้มีศีลมากขึ้น พ่อแม่ตระหนี่ให้กลายเป็นผู้ยินดีในทาน และการช่วยเหลือเกื้อกูล พ่อแม่ผู้ไม่มีปัญญาชนะกิเลสและดับความทุกข์ได้มีปัญญา ลูกที่ทำอย่างนี้ได้สำเร็จก็ถือว่าตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ได้สมบูรณ์ ได้ใช้หนี้อันศักดิ์สิทธิ์ได้หมด




  โดย   พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ   แห่งสถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี จังหวัดนครราชสีมา 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น